หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / โหมโรงเส้นทาง "หงส์แดง" ก่อนบุกถ้ำ "เรือดำน้ำสีเหลือง"

โหมโรงเส้นทาง "หงส์แดง" ก่อนบุกถ้ำ "เรือดำน้ำสีเหลือง"

โหมโรงเส้นทาง หงส์แดง ก่อนบุกถ้ำ เรือดำน้ำสีเหลือง

          แม้ว่าผลงานในลีกอาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝันและบอกได้เลยว่าโอกาสกลับไปติดท็อปโฟร์ในฤดูกาลนี้เป็นเรื่องที่ยากเกินเอื้อมแล้ว แต่สำหรับในเวทียุโรปอย่างถ้วย ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ยังถือว่ามีลุ้นสุดๆ โดยการบุกไปเยือนสนาม เอล มาดริกัล ของ บียาร์เรอัล หนนี้เป็นบททดสอบสำคัญของ "หงส์แดง" ที่บ่งบอกว่าพวกเรานั้นมีความพร้อมมากแค่ไหน และอยู่จุดใดหากเทียบกับทีมระดับบี+ ของสเปน โดยวันนี้เราจะมาย้อนดูเส้นทางที่ผ่านมาของ ลิเวอร์พูล กันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยยย...

ความเหนื่อยยากในรอบแบ่งกลุ่ม

          จริงอยู่ที่ "หงส์แดง" จบรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นแชมป์ ซึ่งมี บอร์กโดซ์, ซิยง และ รูบิน คาซาน ร่วมกลุ่มเดียวกัน แต่ผลงานในสามเกมแรกของพวกเราทำได้แค่เสมอด้วยสกอร์ 1-1 ทั้งสามนัด อย่างไรก็ดีสองเกมต่อมา ลิเวอร์พูล สามารถบุกเอาชนะ รูบิน คาซาน 1-0 และเปิดรังเชือด บอร์กโดซ์ 2-1 ทำให้โอกาสผ่านเข้ารอบเริ่มสดใส จนกระทั่งทำการลงเตะเกมสุดท้ายกับ ซิยง เพื่อตัดสินตำแหน่งแชมป์กลุ่ม ก่อนที่จะเสมอกันไป 0-0 ส่งผลให้เราจบรอบนี้ด้วยการเป็นแชมป์สมใจอยาก (ชนะ 2, เสมอ 4)

มุ่งหน้าสู่เมืองเบียร์ในรอบ 32 ทีมสุดท้าย

          สำหรับการจับสลากในรอบ 32 ทีมสุดท้าย ลิเวอร์พูล ต้องทำศึกกับ เอ๊าก์สบวร์ก ตัวแทนจาก บุนเดสลีกา เยอรมัน โดยเกมแรกต้องบุกไปเยือนถึงสนาม WWK อารีน่า และลงเตะด้วยฟอร์มการเล่นที่สุดยอด แม้ว่าจะไม่สามารถเก็บชัยได้ในเกมนี้ แต่การรักษาสกอร์ 0-0 เพื่อกลับไปเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ ก็ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือใหญ่ค่อนข้างพอใจกับผลงานของทีม จนกระทั่งเลกที่สองเจ้าบ้าน ลิเวอร์พูล เปิดรังเฉือนเอาชนะไปได้จากลูกโทษของ เจมส์ มิลเนอร์ ในนาทีที่ 5 และเล่นประคองเกมไปจนจบ 90 นาที ผ่านเข้ารอบต่อไปในที่สุด นับเป็นจุดเริ่มต้นของความยากลำบากและบททดสอบระดับปานกลางของ "หงส์แดง"

แดงเดือดฉบับยูโรป้า

          และแล้วก็มาถึงเกมแดงเดือดเวอร์ชั่นยุโรป โดยเป็นการจับสลากโคจรมาพบกันของ ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งผู้ชนะเท่านั้นจะได้เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวจากพรีเมียร์ลีกที่เหลืออยู่ในรายการนี้ บอกเลยว่าสนุกยิ่งกว่าการพบกันในลีกเสียอีก ซึ่งเกมเลกแรกที่ แอนฟิลด์ เป็นทางฝั่ง "หงส์แดง" ที่เปิดรังทุบไปได้ 2-0 จากประตูของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ กับ โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ กุมความได้เปรียบสุดๆ ก่อนที่จะบุกไปเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเลกที่สอง

          สำหรับเกมเลกสองที่ "โรงละครแห่งความฝัน" กลายเป็นเจ้าบ้านที่ออกนำไปก่อน 1-0 จาก อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล ซึ่งทำให้พวกเขากลับมามีลุ้นอีกครั้ง แต่แล้วก่อนหมดครึ่งเวลาแรกก็ถึงกับฝันสลาย เพราะ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ สามารถยิงประตูตีเสมอ 1-1 ให้กับ ลิเวอร์พูล และทำให้ผลรวมอยู่ที่ 3-1 โดยนั่นเป็นอเวย์โกลสำคัญที่บังคับให้ "ปีศาจแดง" ต้องยิงให้ได้ 3 ประตูเพื่อโอกาสเข้ารอบต่อไป จนกระทั่งจบ 90 นาทีไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเป็นทางด้าน ลิเวอร์พูล ที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ด้วยสกอร์ 3-1

ศึกใหญ่ของ คล็อปป์ กับรอบ 8 ทีมสุดท้าย

          หากใครคิดว่าเกมแดงเดือดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นบุพเพสันนิวาสแล้ว ต้องบอกว่าเกมในรอบนี้หนักกว่าเป็นสองเท่า เพราะการจับสลากมาเจอกับ ดอร์ทมุนด์ ซึ่งตอนนั้นเป็นถึงเต็งแชมป์รายการนี้ ถือเป็นภารกิจที่ท้าทายสุดๆ ของ ลิเวอร์พูล นอกจากนี้ยังเป็นการคัมแบ็คกลับสู่ถิ่น ซิ๊กนัล อิดูน่า ปาร์ค เป็นครั้งแรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อดีตเทรนเนอร์ในตำนานที่พา "เสือเหลือง" เป็นแชมป์บุนเดสลีกา เรียกว่าเป็นเส้นทางสู่แชมป์สุดโหดเลยก็ว่าได้

          โดยเกมแรกที่บ้านของ ดอร์ทมุนด์ เป็นทางด้านของผู้มาเยือน "หงส์แดง" ที่บุกไปออกนำก่อน 1-0 จากประตูของ ดิว็อค โอริกี้ ก่อนที่ มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ จะทำประตูตีเสมอให้กับเจ้าถิ่น 1-1 ซึ่งเกมนี้ต้องบอกเลยว่าน่าเสียดายอย่างมากที่ไม่สามารถเอาชนะ "เสือเหลือง" ได้ แต่การบุกเก็บอเวย์โกลจากถิ่น ซิ๊กนัล อิดูน่า ปาร์ค ได้ นับเป็นความได้เปรียบพอสมควรจากเลกแรก

          จนกระทั่งแมตช์ที่หลายฝ่ายยกให้เป็นเกมคลาสสิคอันดับสองรองจาก "ค่ำคืนแห่งอิสตันบูล" ก็มาถึง โดยเจ้าบ้าน ลิเวอร์พูล ตกเป็นรองไปก่อน 0-2 ภายในเวลาเพียง 10 นาที และทำให้สกอร์รวมตามหลังถึง 1-3 แถมเป็นรองอเวย์โกลอีกด้วย ขนาดที่แฟนบอลบางส่วนถึงกับถอดใจยอมปิดทีวีนอนไปแล้วก็มี แต่แล้ว "หงส์แดง" มาได้ประตูตีตื้นจาก ดิว็อค โอริกี้ และทำให้ทีมไล่มาเป็น 2-3 (สกอร์รวม) แต่แล้วเพียงไม่กี่อึดใจ ผู้มาเยือนก็หนีห่างเป็น 4-2 จากประตูของ มาร์โก้ รอยส์

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ลิเวอร์พูล จะมาได้ 3 ลูกรวดจาก ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, มามาดู ซาโก้ และประตูสวรรค์สั่งตายของ เดยัน ลอฟเรน ช่วยให้ทีมพลิกแซงเอาชนะไปได้ 5-4 เรียกเสียงสะใจจากสาวก "เดอะ ค็อป" ในถิ่น แอนฟิลด์ ได้อย่างกึกก้อง และทำให้ "หงส์แดง" กลับมาผงาดผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

ADS