หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / "เดอะ ค็อป" ขอแชร์ประสบการณ์สุดระทึกจากเกมสุดมันส์ "LIV 5-4 NOR"

"เดอะ ค็อป" ขอแชร์ประสบการณ์สุดระทึกจากเกมสุดมันส์ "LIV 5-4 NOR"

เดอะ ค็อป ขอแชร์ประสบการณ์สุดระทึกจากเกมสุดมันส์ LIV 5-4 NOR

           สวัสดีครับแฟนๆ "เดอะ ค็อป" ทุกท่าน หลังจากที่ผมได้นั่งชมเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 23 ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเชื่อว่าเหล่าสาวกทั้งหลายต้องยกนิ้วให้เป็นแมตช์แห่งฤดูกาลแน่นอน โดยวันนี้ผมจะมาขอเล่าประสบการณ์ตรงในระหว่างที่กำลังรับชมเกมกันครับ...

          (ย้อนไปเมื่อเวลา 18.45 น. ของวันเสาร์ที่ 23 มกราคม) หลังจากที่นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนแมตช์เดย์เริ่มทำงาน ผมก็จัดแจงหาขนมขบเคี้ยวเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม ซึ่งต่อมาไม่นานก็ได้มีการประกาศไลน์อัพของเกมคู่นี้ออกมา และโดยส่วนตัวคิดว่า "อ่าว...เบนเตเก้ มันโดนดองอีกแล้วหรอว่ะ สงสัยจะแย่ แถมยังส่ง ไอบ์ เล่นตัวจริงเลยด้วย" ยอมรับว่าเป็น 11 รายชื่อที่ไม่ได้แปลกกว่าที่คาดไว้เท่าไรนัก

          (19.45 น.) เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดยาวจากปากของ ลี เมสัน เกมก็เริ่มต้นอย่างสนุกสนานทันที ซึ่งทั้งสองฝั่งผลัดกันรับ-รุกแบบไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งในนาทีที่ 17 ปลายๆ ของการแข่งขัน กลายเป็นทีมเยือน ลิเวอร์พูล ที่ออกนำก่อน 1-0 จากการต่อบอลจากริมเส้นฝั่งซ้าย โดยเริ่มจาก อัลเบร์โต้ โมเรโน่ ไหลมาให้ เจมส์ มิลเนอร์ จัดทะลุช่องตัดหลังแนวรับ นอริช ซิตี้ ก่อนที่ โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ จะวิ่งสอดไปซัดด้วยซ้ายจังหวะเดียวแบบไม่มีการจับ

          ตอนนั้นคิดในใจดังออกมาว่า "เอ้าาา ติดเซฟอีก!!...สงสัยบอลถากเสาออกไปแน่" สักพักบอลมันค่อยๆ กลิ้นหลุนๆ ชนโคนเสา เหมือนจะกระดอนออกมาจากเส้น แต่ที่ไหนได้ มันปลิ้นเข้าประตูเลยดื้อๆ ผมนี่กระโดดร้องลั่นบ้านเลยครับ คิดแล้วว่า "เกมนี้มันต้องเป็นของเรา ขนาดติดเซฟมันยังปลิ้นไปชนเสาเข้า"

          จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายครึ่งแรก ในนาทีที่ 40 บอลที่เหมือนจะไม่มีอะไรของเจ้าบ้าน ไหลต่อกันมาเรื่อยๆ จากริมเส้นฝั่งขวา ก่อนที่ เวส ฮูลาแฮน จะได้บอลและจ่ายทะลุช่องตัดหลังแนวรับของ ลิเวอร์พูล อย่างสวยงาม ซึ่งมี สตีเว่น เนย์สมิธ อดีตเด็กเก่า เอฟเวอร์ตัน วิ่งมาซัดด้วยขวาเปรี้ยงเดียว บอลพุ่งเลียดเสียบโคนเสาราวกับจัดวาง

          ต่อมาในนาทีที่ 20 เป็นจังหวะที่ เจมส์ มิลเนอร์ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปดวลเดียวกับ ดีแคลน รุดด์ นายทวาร นอริช ซิตี้ ก่อนจะทำเงอะๆ งะๆ โดนกองหลังที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้ สกัดคาเท้าออกไปหน้าตาเฉย ตอนนั้นคิดในใจเสียงดังว่า "โห้ย!! ทำไมไม่เป็นใครที่มันวิ่งเร็วกว่านี้ฟร่ะ ชักช้าซะเหลือเกิน"

          และแล้ววินาทีที่ทำให้ผมถึงกับเซ็งก็มาถึง ในนาทีที่ 27 กว่าๆ ต่อเนื่องจากจังหวะเตะมุมลึกไปเสาไกลของ "นกขมิ้นเหลืออ่อน" ในใจคิด "ถ้ามันโขกเข้ามาได้ นี่...นรกแน่นอน" แล้วมันก็นรกจริงๆ เพราะบอลที่โขกกันมั่วไปมาก็ดันมาตกลงที่หน้าของ ดิวเมอร์ซี่ เอ็มโบกานี่ ก่อนจะตอกส้นเข้าไปอย่างเท่ ผมถึงกับบ่นอุบเสียงดังว่า "ยังมั่วไม่เลิกจริงๆ นี่จะเสียกับลูกตั้งเตะมันทุกนัดเลยไหมเนี่ย?" และก็จบครึ่งแรกไปแบบหัวร้อน

          กลับมาลงเตะต่อในครึ่งเวลาหลังได้เพียงไม่กี่นาที "หงส์แดง" ต้องมาเสียจุดโทษแบบโง่ๆ จากการเข้าข้างหลังของ โมเรโน่ และแน่นอนว่า ฮูลาแฮน ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง ในใจคิดแล้วสงสัยจะกู่ไม่กลับตามสูตร ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเชียร์ด้วยใจรัก หลังตกเป็นรองห่าง 1-3 แต่แล้วเพียงนาทีเดียว "กัปตันเฮนโด้" จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ทำให้ผลมีความหวังอีกทั้ง พร้อมตะโกนลั่นบ้าน "COME ON!!!...มันมาแล้วเว้ยยย" จากจังหวะถ่ายบอลกันง่ายๆ เข้ากลาง ก่อนที่ เฮนเดอร์สัน จะตวัดด้วยขวา บอลหนีมือนายด่านเจ้าถิ่นเข้าไปซุกก้นตาข่ายงามหยด ไม่น่าเชื่อว่าจะยิงได้ถึงขนาดนี้

          โมเมนตัมของเกมและอารมณ์ของแฟนบอล "เดอะ ค็อป" กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดถึงขนาดที่มือไม้ปล่อยของกินอย่างและนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ในนาทีที่ 62 กว่าๆ "เครื่องจักรสีแดง" ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เพราะสามารถไล่ตีเสมอเป็น 3-3 ได้สำเร็จ จากจังหวะโต้กลับเร็วจากกาบซ้าย ก่อนที่ อดัม ลัลลาน่า ซึ่งลงมาเป็นสำรองจะปาดบอลเข้ากลางให้ เฟียร์มิโน่ คนเดิม หลุดไปยิงจ่อๆ แตะสวนตัวผู้รักษาประตูเข้าไป ถึงตอนนั้นผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า ครึ่งชั่วโมงที่เหลือจะเป็นเกมของเราแน่นอน

          จากนั้นในนาทีที่ 75 แนวรับเจ้าบ้านมอบของขวัญให้กับผู้มาเยือน ด้วยการจ่ายคืนหลังสั้น ให้ มิลเนอร์ หลุดไปเดี่ยวตัวๆ กับ ดีแคลน รุด พร้อมโชว์วิธีการยิงให้ คริสติย็อง เบนเตเก้ ที่เตรียมจะลงสนามมาเป็นสำรองเห็นว่า "ถ้าหลุดเดี่ยว มันต้องยิงแบบนี้...ไอ่น้อง!!" เกมเดินทางมาจนถึงช่วงท้าย ซึ่งหลังจากกรรมการที่สี่ชูป้ายทดเวลาบาดเจ็บถึง 5 นาที ผมถึงกับอุทานออกมาชนิดที่ออกอากาศไม่ได้เลย (เชื่อว่าหลายท่านก็น่าจะเป็นเหมือนกัน)

          จนกระทั่งในนาทีที่ 90+2 ราวกับสวรรค์ลงโทษชัดๆ เพราะเจ้าบ้านมาได้ประตูไล่ตีเสมอเป็น 4-4 จากการซัดเปรี้ยงเดียว บอลพุ่งฝ่าบล็อคติดไซ้หนีมือ ซิมง มิโญเล่ต์ ที่มองอะไรแทบไม่ทัน เข้าไปชนิดสะใจแฟนบอล "นกขมิ้น" และบรรดากองแช่งที่สาปส่งอยู่ข้างหลัง ซึ่งแน่นอนว่าผมพูดอะไรไม่ออก นอกจากเตรียมเก็บข้าวของไปทำอย่างอื่นแล้ว ในใจคิดว่า "เสมอก็ดีแล้ว..."

          ใครจะไปรู่ว่า...เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น และมันยิ่งกว่าไคลแม็กซ์ของไคลแม็กซ์ ด้วยเวลาเพียงน้อยนิดชนิดที่เหลือไม่ถึงนาที ก็กลายเป็น "ไอ้หล่อ" ลัลลาน่า สวมบทฮีโร่ เอียงตัววอลเล่ย์ด้วยซ้าย บอลพุ่งกระดอนพื้นเสียบหน้าต่างเข้าไปอย่างสวยสดงดงาม และทำให้จอมหนึบ รุด ถึงกับหงายหลังล้มทั้งยืน โดย ลัลลาน่า วิ่งดีใจลืมเจ็บพร้อมถอดเสื้อแบบไม่ห่วงโดนเหลืองออกไปกอด เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งตอนนั้นผมดีใจจนตะโกนลั่นบ้าน(อีกครั้ง)แบบไม่รู้ตัว และกระโดดโลดเต้นอย่างกับทีมได้แชมป์ยังไงยังงั้นเลย ........ จบเกม ลิเวอร์พูล 5-4 นอริช ซิตี้

          ผมพูดไม่หยุดหลังจบเกมกับพี่สาวที่กำลังนั่งแช่ง (แฟนผี) "นี่มันสุดยอดแล้ว ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะกลับมาได้หรอก โดนยิงสามลูกรวดตามหลังห่างตั้งสองลูก แต่ใครจะไปรู้ว่าฟ้ามีตาส่งประตูตีตื้นอย่างรวดเร็ว และได้ ลัลลาน่า เล่นหล่อสมชื่อ ช่วยให้ทีมกลับมาจากตามหลังเป็นเสมอ 3-3 ก่อนเป็นโชคดีของ ลิเวอร์พูล มาได้ของขวัญแซงนำ 4-3 แต่ดันมาโดนประตูตีเสมอ 4-4 ในช่วงทดเจ็บ ทำเอาใจแป้วเลย เกือบจะไม่ดูต่อแล้วเชียว จนแล้วจนรอดก็มาได้ประตูชัยโคตรดราม่าในช่วงท้ายของท้ายเกมอีก บอกเลยว่าโคตรมันส์จริงๆ ..."

          เชื่อว่าแฟนบอลหลายท่านคงมีอาการเดียวกับผม ^^ สำหรับเกมที่มีทั้งขึ้นนำ, เสียจุดโทษ, โดนนำห่าง, ตามตีเสมอ, แซงนำ, โดนตีเจ๊า, หมดหวัง และสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นความสุขที่นักเตะ "หงส์แดง" มอบให้กับแฟนบอลตัวเล็กๆ อย่างผม ขอบคุณที่ทำให้ฤดูกาลนี้มีอะไรดีๆ ให้จดจำบ้าง สู้ต่อไป... // StevieG

ADS