หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / เจาะลึกไลน์วิ่งแข้ง "หงส์" ในเกมบุกจม "เรือ" 4-1

เจาะลึกไลน์วิ่งแข้ง "หงส์" ในเกมบุกจม "เรือ" 4-1

เจาะลึกไลน์วิ่งแข้ง หงส์ ในเกมบุกจม เรือ 4-1

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทีมที่เล่นเกมเหย้าดีเป็นอันดับต้นๆ ของลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะพลาดท่าเสียให้กับ ลิเวอร์พูล ถึง 1-4 และมีคำถามมากมายเกิดขึ้นหลังเกมว่า "หงส์แดง" เล่นดีหรือ "เรือใบ" เล่นแย่ หรือว่าจะเป็นแทคติกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่สามารถเอาชนะตำราโบราณของ มานูเอล เปเญกรินี่ ได้ คราวนี้เราจะพาไปดูเส้นทางการวิ่งแบบเจาะลึกของทัพ "เครื่องจักรสีแดง" ในเกมนี้กัน...

          แน่นอนว่าการไม่มี คริสติย็อง เบนเตเก้ กับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เป็นหน้าเป้าตัวจริง ตามระบบ 4-3-3 และ คล็อปป์ เลือกที่จะใช้ โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ ยืนหน้าตัวกลางแทน โดยวาง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (ซ้าย) กับ อดัม ลัลลานา (ขวา) คอยสนับสนุนอยู่ด้านข้าง น่าสนใจที่การออกบอลจังหวะเดียวและการจ่ายบอลทะลุช่องของเหล่าบรรดาเพลยเมกเกอร์ สามารถช่วยให้ทีมมีโอกาสทำลายกับดักล้ำหน้าของ "ซิตี้" ได้สบายอย่างเหลือเชื่อ

Liverpool 4-3-3 vs. City

          จากกราฟฟิกจะเห็นว่ามีแค่ผู้เล่นเอ้าท์ฟิลด์เพียง 2 คนเท่านั้นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ที่ไม่มีการเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปไหน ส่วนอีก 8 รายที่เหลือมีรูปแบบการวิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ไล่เรียงจากตัวเป้าอย่าง เฟียร์มิโน่ ซึ่งรับบทบาทเป็น "False Nine" หรือกองหน้าตัวหลอกที่สามารถวิ่งลงมาเชื่อมเกมแดนกลางและสลับลงต่ำเพื่อให้สองตัวรุกซ้าย-ขวา หุบเข้ามาทำเกมรุกแทน เราจึงไม่เห็นเขาถ่างออกมาเล่นเป็นริมเส้นเหมือนในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

          ส่วนในตำแหน่งมิดฟิลด์ 3 ราย จะเห็นว่า เจมส์ มิลเนอร์ ต้องลงมารับบทบาทเป็นกองกลางตัวรับช่วย ลูคัส เลว่า ตัดเกมคู่แข่งและปล่อยให้ เอ็มเร่ จัน ยืนสูงกว่าเพื่อคอยคุมโซน และทำให้ทีมสลับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 โดยห้อย เฟียร์มิโน่ ยืนหน้าเพียงคนเดียวในช่วงที่ทีมเล่นเกมรับ ซึ่งหน้าที่ของ "ลูลู่" ค่อนข้างตายตัวและไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในเกมรุกมากนัก ทำให้พื้นที่รับผิดชอบน้อยลงและประหยัดแรงลงได้เยอะ สังเกตว่าสองนัดหลังสุด เขาสามารถลงเล่นได้ถึง 90 นาทีเต็ม ทั้งที่สำรองอย่าง โจ อัลเลน ก็ยังพร้อมสแตนบาย

MANCHESTER, ENGLAND - Saturday, November 21, 2015: Liverpool's Roberto Firmino celebrates the Manchester City own goal scored by Mangala during the Premier League match against Liverpool at the City of Manchester Stadium. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          ในขณะที่สองแบ็คซ้าย-ขวา ทำหน้าที่ต่างกันเล็กน้อย โดยทางด้านของ อัลเบร์โต้ โมเรโน่ จะขึ้นสุดลงสุดได้มากกว่า นาธาเนี่ยล ไคลน์ นั่นเป็นเพราะเกมรุกฝั่งซ้ายของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ค่อนข้างน่ากลัว ซึ่งมีทั้ง อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง อันตรายกว่าอีกฝั่งเยอะ จึงทำให้ ลัลลานา ต้องสกรีนก่อนที่ ไคลน์ จะเข้ามาช่วยซ้อน

          แม้ว่าการวางหมากและแทคติกต่างๆ อาจจะดูเว่อร์เกินจริงไปบ้าง แต่จากรูปเกมในวันนั้น เห็นได้ชัดว่าการเพรสซิ่งเพื่อแย่งบอลกลับมาให้ได้เร็วที่สุดตั้งแต่แดนหน้า ทำให้ทีมสามารถเล่นเคาน์เตอร์แอ็ตแท็คได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ช้าจนคู่แข่งกลับมาตั้งโซนรับได้ทัน แน่นอนว่าพื้นที่ในเกมรุกก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าดูจากสถิติการต่อบอลของ ลิเวอร์พูล ทั้งหมด 385 ครั้ง ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือน่าตกใจ เพราะการออกบอลไม่มากครั้งในการเข้าทำ เป็นเรื่องดีกว่าต่อบอลเป็นสิบครั้งจนช่องปิดและต้องกลับไปเริ่มที่คู่เซ็นเตอร์ใหม่นั่นเอง

ADS