หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / เล่าจากปาก!! เกิดอะไรขึ้นในค่ำคืน "หงส์" เจ้ายุโรป 2005

เล่าจากปาก!! เกิดอะไรขึ้นในค่ำคืน "หงส์" เจ้ายุโรป 2005

armada28 2015-05-26 16:07:10 อิสตันบูล , เบนิเตซ
เล่าจากปาก!! เกิดอะไรขึ้นในค่ำคืน หงส์ เจ้ายุโรป 2005

เล่าจากปาก!! เกิดอะไรขึ้นในค่ำคืน "หงส์" เจ้ายุโรป 2005

 


     มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทหนึ่งของ ศึกชิงเจ้ายุโรป นับเป็นเวลาล่วงเลยกว่า 10 ปีแล้วที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่สร้างบันดาลใจให้ ลิเวอร์พูล กลับมาจากการตามหลัง เอซี มิลาน 3-0 ในครึ่งแรกของนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 20005 ที่เมือง อิสตันบูล ประเทศตุรกี แต่ท้ายที่สุดลงเอยด้วยการชนะจุดโทษ ประกาศศักดาเป็นเจ้ายุโรปอย่างมหัศจรรย์ในท้ายที่สุด

     ค่ำคืนนี้ เจอร์ซีย์ ดูเด็ค นายด่านโปแลนด์เป็นฮีโร่ที่โชว์ซูเปอร์เซฟจากการยิงลูกโทษของ อันเดรีย ปิร์โล่ และ อังเดร เชฟเชนโก้ รวมไปถึงการซัดข้ามคานของ แซร์จินโญ่ ออกไปนอกโลก

     2 ปีต่อมาในปี 2007 ทั้งสองทีมพบกันอีกครั้งในนัดชิงของรายการนี้ และครั้งนั้นเป็นคราวของทีมจากกัลโช่ บ้างที่ได้แชมป์กลับไปที่ เอเธนส์ ประเทศกรีซ พร้อมสร้างสถิติได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 7 สมัย เหนือกว่า ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ 5 สมัย มีเพียง เรอัล มาดริด ที่ทำได้มากที่สุดที่ 10 สมัย

     ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางสโมสรก็ได้จัดงานรียูเนี่ยน อิสตันบูล ที่ เอ็คโค่ อารีน่า เพื่อรำลึกการครบรอบ 10 ปีที่พวกเขาได้ชูโทรฟี่นี้ โดยขวัญใจของทีมชุดนั้นมากันเกือบหมดทั้ง เจมี่ คาร์ราเกอร์, ดีทมาร์ ฮามันน์, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, เจอร์ซีย์ ดูเด็ค และ ซามี่ ฮูเปีย แม้กระทั่ง ฌิมี่ ตราโอเร่ ก็มาแจมกับเขาด้วย ส่วนคนที่พลาดการมาร่วมงานครั้งนี้ได้แก่ ชาบี้ อลอนโซ่, ราฟาเอล เบนิเตซ และ สตีฟ ฟินแนน

     และนี่ก็เป็นวาระครบรอบ 10 ปีแล้วที่ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์รายการนี้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา วันนี้เราจะมาย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์สุดดราม่าครั้งนั้น จากปากนักเตะของทั้งสองทีมกันว่าเกิดอะไรขึ้นในเกมนั้น และพวกเขารู้สึกอย่างไรกับตำนานบทนี้ ไปดูกันเลยครับ

ราฟา เบนิเตซ

Rafa Benitez

     "ภาษาอังกฤษของผมยังไม่ค่อยดีเหมือนเท่าตอนนี้ ดังนั้นผมจึงต้องเขียนมันออกมาและคิดทบทวนตอนที่เราเสียประตูที่สาม"

     "มันยากลำบากมากในการสื่อสารช่วงพักครึ่งเวลา และผมแค่ตั้งใจจะพูดออกมา แต่จะพูดอย่างไรไม่ให้ผิดพลาดในคำพูดที่จะเอ่ย และใส่อารมณ์ลงไปในคำพูดที่จะทำให้ผู้เล่นเกิดความเชื่อมั่น"

     "ผมบอก ปาโก้ อเยสเตรัน โค้ชฟิตเนสของเราให้เตรียมจัด ดีทมาร์ ฮามันน์ ลงมา เพราะเราต้องการเปลี่ยนรูปทรงของทีม ปกติเราต้องให้เวลาผู้เล่นพักผ่อนสัก 1 -2 นาที และทบทวนสิ่งต่างๆ หลังจากได้สื่อสารชัดเจนกับพวกเขาไปแล้ว"

Dietmar Hamann

     "เราอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และไม่มีอะไรจะเสีย เราต้องพยายาม เราต้องยิงประตูให้ได้ ทำงานให้หนักและเปลี่ยนเกม นั่นคือความคิดในตอนนั้น"

     "ผมบอกให้ ฌิมี่ ตราโอเร่ ไปอาบน้ำ และจากนั้นก็มองไปที่ ฟินแนน นักกายภาพบอกผมว่าเขาเล่นต่อไม่ได้แล้ว คุณต้องเปลี่ยนเขาออกมา ผมเปลี่ยน ฟินแนน ออกมาเพื่อให้ ตราโอเร่ ยังได้เล่นต่อ ซึ่ง ฟินแนน ไม่แฮปปี้เลยกับผมและนักกายภาพ"

     "เราออกไปลุยต่อด้วยแนวคิดที่ต้องการทำประตู กลับสู่เกม และผมไม่ได้ยินเสียงแฟนๆ เลยแต่พอกลับไปในสนาม คุณย่อมรู้สึกเลยว่าบรรยากาศมันยังคงอยูุ่อีกครั้ง การได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการชนะจุดโทษ ด้วยแนวทางที่เราทุ่มเทลงไป มันคิดว่ามันน่าอัศจรรย์"

     "มันจะเป็นนัดชิงชนะเลิศที่ดีที่สุดไปตลอดกาล ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะเปลี่ยนไปจากนี้ มันไม่เหมือนการชนะ 1-0 ในนาทีสุดท้ายหรอก"

     "การกลับมาจากการตามหลัง 3-0 จนไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ดวลลูกโทษ นี่แหละคือเกมชิงชนะเลิศที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว"

เจมี่ คาร์ราเกอร์

     "ภาษาอังกฤษของ ราฟา ไม่ดีเลยในตอนนั้น และถ้าคุณจะต้องถูกเปลี่ยนตัวออก เขาก็จะพูดแค่ว่า ไปอาบน้ำซะ"

     "ราฟา เขียนชื่อนักเตะลงบนกระดาน ผมมองไปและก็คิดว่า เรายังมีโอกาสในครึ่งหลังในเกมนี้ เรากำลังแข่งขันด้วยผู้เล่นถึง 12 คน!"

เอร์นัน เครสโป

AC Milan's Argentinan forward Hernan Crespo celebrates after scoring a second goal for his team

     "ผมนั่งอยู่ข้างหลังช่างภาพ ผมต้องมองด้วยตาของตัวเองว่า เจอร์ราร์ด ที่กำลังจะได้ชูถ้วยรางวัล ผมยังไม่เชื่อว่ามันเป็นจริง มันไม่น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง กระทั่ง สตีเว่น ชูถ้วยในที่สุด ผมถึงคิดได้ว่านี่มันเป็นเรื่องจริง"

Steven Gerrard

     "มันดูเหมือนงานศพ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆ ไม่มีใครอยากจะพูดอะไรเลยเมื่อกลับไปที่โรงแรม"

สตีฟ ฟินแนน

Steve Finnan

     "ผมไม่ต้องการถูกเปลี่ยนออก แม้ว่าผมจะรู้ดีเกี่ยวปัญหาของตัวเอง ในตอนนั้นผมไม่แฮปปี้เลย แต่มันก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง พอโดนเปลี่ยนออก ราฟา ก็เปลี่ยนแปลงระบบ ดีดี้ คือส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมกลับมาได้"

     "ผมกำลังรับการปฐมพยาบาลในช่วงพักครึ่ง ผมจึงไม่ได้เห็นทั้ง 3 ประตูของเรา แต่ผมรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ผมรู้ดีว่าเราทำประตูได้เพราะเสียงเชียร์ดังกึกก้องเหลือเกิน"

     "มันเหมือนความฝัน พอผมออกมาก็ได้เห็นกับตาว่าสกอร์ 3-3 แล้ว"

Djimi Traore

     "มันเป็นอารมณ์ที่หลากหลาย ผมต้องอดทนมากที่ต้องโดนถอดออกจากเกมรอบชิงชนะเลศ ยูโรเปี้ยน คัพ แต่ก็มีความสุขที่ได้เห็นเรากลับมาสู่เกม ในครึ่งหลังเรากลัวว่าอาจต้องเสียประตูเป็น 5- 6 ประตู"

     "ช็อตที่ ดูเด็ค เซฟลูกโทษตัดสินได้ กองเชียร์ก็ฉลองกันสุดเหวี่ยง"

     "ผมได้ลงเล่นในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก มาตลอดจนถึงนัดชิง และเราก็ได้แชมป์ มันเป็นค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการค้าแข้งของผม มันเหลือเชื่อมากๆ เมื่อคุณกลับมาจากการตามหลัง 3-0 กับทีมชั้นดีอย่าง เอซี มิลาน"

     "เราไม่ได้เห็นเกมแบบนี้เลยทั้งที่ผ่านมากว่า 10 ปี และเราคงอาจจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้อีกแล้ว"

ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่

     "โคตรระยำจริงๆ ที่พวกนักเตะ มิลาน ดีใจฉลองกันเสียแล้วในช่วงพักครึ่งแรก"

     "ตอนที่ มิลาน ยิงประตูที่ 3 ได้ ผมคิดว่ามันโคตรแย่เลย มันไม่มีอะไรจะแย่ได้มากกว่านี้อีก"

Djibril Cisse

     "จังหวะที่เรายิงประตูตีตื้นได้ อิวาน กัตตูโซ่ เริ่มหน้าเสีย จากนั้นในไม่ช้าเราก็มาได้ประตูเพิ่มอีก ผมชอบสีหน้าของเขาในตอนนั้นจริงๆ"

เจอร์ซีย์ ดูเด็ค

     "ผมคงได้ฝันร้ายแน่ๆ ถ้าผมแพ้ในเกมนั้น จากนั้นเมื่อตื่นนอนคงจะตระหนักซะว่าเราไม่ได้เล่นเกมนั้น และผมคงรู้สึกดีขึ้น"

     "ผู้รักษาประตูทุกคนมีเคล็ดลับของตัวเองในแต่ละคน ผมชอบที่จะนั่งสมาธิมันช่วยให้ผมสงบนิ่ง ผมมักเข้าไปในห้องแต่งตัวก่อนเกม เพื่อวอร์มอัพ และยืดเส้นสายจากนั้นจึงหามุมที่เงียบๆ"

     "จากนั้นจึงสวมถุงมือข้างซ้ายก่อน ตามด้วยสนับแข้งข้างซ้าย, ถุงเท้าข้างซ้าย, รองเท้าข้างซ้าย และทำเหมือนกันในฝั่งขวา"

     "ถ้าผมไม่ได้ทำแบบนี้ เกมนั้นผมก็คงจะเป็นบ้าพอสมควรเลย"

 

ADS