หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / 5 จุดสำคัญจากเกมเฉือน "แมวดำ" ที่แฟนต้องรู้

5 จุดสำคัญจากเกมเฉือน "แมวดำ" ที่แฟนต้องรู้

5 จุดสำคัญจากเกมเฉือน แมวดำ ที่แฟนต้องรู้

5 จุดสำคัญจากเกมเฉือน "แมวดำ" ที่แฟนต้องรู้

          ชื่นมื่นกันไปตาม ๆ กัน สำหรับแฟนบอล "เดอะ ค็อป" หลังจากที่ทีมรักบุกเก็บสามแต้มสำคัญออกมาจากถิ่น สเตเดี้ยม อ็อฟ ไลท์ ด้วยการเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 จากประตูโทนของ ลาซาร์ มาร์โควิช ในช่วงต้นเกม คราวนี้เราจะพาไปดู 5 จุดสำคัญที่เกิดขึ้นในเกมและหลังเกมว่ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง...?


 

1. รู้ยัง? การมี ลูคัส สำคัญนะเธอ!

          อย่างที่ทราบกันว่าบทบาทของ ลูคัส เลว่า ในสนามค่อนข้างชัดเจนและเด็ดขาดที่สุด โดยหน้าที่ง่าย ๆ ของเขาก็คือการตัดเกมของคู่แข่งและออกบอลให้เพื่อนให้แม่นยำที่สุด ซึ่งตลอด 21 เกมในฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล การที่ ลูคัส ลงเล่นอยู่ในสนามนั้น ทำให้ทีมชนะได้ถึง 7 เกมจากทั้งหมด 11 นัด แถมเสมอ 3 และแพ้เพียงหนเดียวเท่านั้น (W-7, D-3, L-1)

          ในขณะที่อีก 10 เกมที่ปราศจากชื่อของ ลูคัส เลว่า ผลงานของ "หงส์แดง" ชนะเพียง 2 ครั้ง เสมอ 2 และแพ้ไปถึง 6 เกมเลยทีเดียว (W-2, D-2, L-6) แค่นี้ก็รู้กันแล้วว่าการมีเขาอยู่ในสนามสำคัญกับผลงานของทีมมากแค่ไหน หวังว่าเกมต่อ ๆ ไป จะมีชื่อของ ลูคัส ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง


 

2. มามาดู ซาโก้ กับ เอ็มเร่ ชาน (โมเดิร์น-เซ็นเตอร์แบ็ค)

          กลายเป็นคู่หูปราการหลังที่ลงตัวกว่าคู่เดิมอย่าง เดยัน ลอฟเรน กับ มาร์ติน สเคอร์เทล ซะอีก สำหรับ มามาดู ซาโก้ และ เอ็มเร่ ชาน เพราะสไตล์การเล่นแบบเซ็นเตอร์แบ็คสมัยใหม่ ที่นอกจากจะเล่นเกมรับได้แล้ว ยังต้องมีการออกบอลที่แม่นยำและการสร้างสรรค์เกมจากแนวรับได้ด้วย ซึ่ง ซาโก้ มีสถิติจ่ายบอลแม่นยำเฉพาะในเกมนี้สูงถึง 95.3% ในขณะที่ ชาน ก็ออกบอลแม่ไม่แพ้กันที่ 92.2%

BOURNEMOUTH, ENGLAND - Wednesday, December 17, 2014: Liverpool's Mamadou Sakho in action against Bournemouth during the Football League Cup 5th Round match at Dean Court. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          แน่นอนว่าตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คเป็นบทบาทที่จำเป็นต้องมีสายตาและการจ่ายบอลที่แม่นยำกว่าตำแหน่งอื่น ๆ อยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจที่ทั้งคู่จะมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าเพื่อนร่วมทีม อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมว่าการเป็นกองหลังที่ดีต้องเล่นเกมรับให้ดีเสียก่อน และเชื่อว่าการมี มาร์ติน สเคอร์เทล ยืนปักหลักเป็นสวีเปอร์ (Sweeper) หรือกองหลังตัวเก็บกวาดที่เรารู้จักกัน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทั้ง ซาโก้ และ ชาน เล่นได้ง่ายขึ้น


 

3. ลาซาร์ มาร์โควิช เลเวลอัพ!

          เจ้าของประตูชัยในเกมนี้อย่าง ลาซาร์ มาร์โควิช พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากโอกาสลงสนามที่ได้รับ และสามารถปรับตัวกับสปีดบอลของพรีเมียร์ลีกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระดับฝีเท้าและความเร็วของเขาไม่เป็นปัญหาในการเล่นอย่างแน่นอน ขอเพียงสามารถรักษามาตรฐานของฟอร์มการเล่นหรือความสม่ำเสมอไว้ให้ได้ รับรองว่าไม่นานเกินรอจะกลายเป็นตัวป่วนของแนวรับคู่แข่งได้แน่นอน

          พัฒนาการจากเกมที่ลงเล่นกับ เอฟซี บาเซิ่ล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือใหญ่ของทีม โปรดปรานและใส่ชื่อของเขาลงเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงบ่อยครั้งมากขึ้นตามความฟิตและแท็คติกของเกมนั้น ๆ ซึ่งผลงานในเกมนี้ของเขานอกจากจะทำประตูได้แล้ว ยังมีสถิติเลี้ยงบอลเลื้อยทะลุผ่านแนวรับของ ซันเดอร์แลนด์ มากถึง 4 ครั้ง เป็นรองแค่ ฟิลิเป้ คูตินโญ่ คนเดียวเท่านั้น

          ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปีของ มาร์โควิช ทำให้เขามีโอกาสและเวลาอีกมากโขในการพิสูจน์ตัวเอง บวกกับการพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นไปอีกได้ แนะนำว่าไปเพิ่มกล้ามเนื้อเสริมแกร่งอีกสักนัด เขาจะกลายเป็น แกเร็ธ เบล ได้ในไม่ช้า


 

4. บทบาทที่เหมาะเหม็งของ "กัปตันเจิด" กับตำแหน่งตัวรุกเต็มตัว

          จริง ๆ แล้วเรื่องนี้น่าจะรู้กันทั้งโลกหมดแล้ว แต่อาจมีแค่เพียงบางคนที่ไม่ยักรู้ว่าบทบาทที่เหมาะสมของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด คืออะไรกันแน่ ซึ่งอย่างที่สกู๊ปเก่า ๆ ของเราได้นำเสนอไปแล้วว่า การขึ้นไปเล่นเป็นหน้าต่ำหรือมิดฟิลด์ตัวรุกจะสามารถงัดเอาศักยภาพที่แท้จริงของ "กัปตันเจิด" ออกมาได้มากที่สุด แม้ว่าเขาจะเล่นได้หลายตำแหน่งก็ตามที

          เจอร์ราร์ด มีส่วนกับประตูที่ได้ไม่แพ้กับ ฟาบิโอ บอรินี่ และ ลาซาร์ มาร์โควิช เพราะเขาเป็นจุดเริ่มต้นของการพาบอลเข้าไปที่จุดอันตราย ก่อนจะแตะบอลให้ บอรินี่ และวิ่งตัดไปที่กลางประตู เพื่อรอโอกาสที่จะได้รับบอลคืนมาและจบสกอร์แบบโล่ง ๆ เพียงแต่เจ้าหนู มาร์โควิช ดันมาขโมยซีนก่อนนั่นเอง

          จากจังหวะดังกล่าวจะเห็นว่า เจอร์ราร์ด ดันขึ้นสูงมาก ๆ ไม่ต่างอะไรกับกองหน้าตัวเป้า ซึ่งผมเชื่อว่าการเอา "สตีวี่จี" เล่นหน้าเป้าแทนพวก มาริโอ บาโลเตลลี่ หรือ ฟาบิโอ บอรินี่ อาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ เพราะ เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะที่ครองบอลดี เก็บบอลได้ และหาจังหวะทำประตูได้เก่ง แม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะไม่มีลูกยิงไกลให้เห็นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสร้างความน่ากลัวได้มาก เมื่อบอลมาอยู่ที่เขา


 

5. การแก้เกมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มั่วได้ใจ

          คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ร็อดเจอร์ส เป็นกุนซือที่เก่งและคุมทีมได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ในช่วงหลัง แต่ปัญหาเดียวที่ยังแก้ไม่ตกของเขาก็คือ การปรับแท็คติกระหว่างเกม ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนตำแหน่งหรือตัวผู้เล่น ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเขาจะทำให้ทีมมีปัญหามากขึ้น จากที่นำอยู่อาจเสมอ หรือจากที่เสมออาจกลายเป็นแพ้ได้เลย เรื่องนี้น่าเป็นห่วงสุด ๆ

SUNDERLAND, ENGLAND - Saturday, January 10, 2015: Liverpool's manager Brendan Rodgers during the Premier League match against Sunderland at the Stadium of Light. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          แต่สื่งที่แฟน "เดอะ ค็อป" ต้องทำความเข้าใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ขุมกำลังที่เรามียังไม่ดีพอที่จะไปลุ้นแชมป์ลีก หรือแม้กระทั่งการขึ้นไปลุ้นติดท็อปโฟร์ ซึ่งนอกจากทางเลือกของนักเตะที่มีน้อยจนทำให้การส่งลงสำรองอาจกลายเป็นดาบสองคม แทนที่จะเป็นผลดีกับทีมมากกว่า ยังต้องมาลุ้นว่าฟอร์มการเล่นของนักเตะรายนั้น ๆ จะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่อีกด้วย แตกต่างกับทีมบิ๊ก ๆ หัวตารางที่มีผู้เล่นระดับ เวิร์ลคลาสแน่นทีม

          ทำให้จุดนี้ไม่สามารถโทษเป็นความผิดของ ร็อดเจอร์ส ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรดีเขาก็ยังเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับผลการแข่งขันที่ออกมาทุกนัดอยู่ดี ในฐานะของผู้ที่ตัดสินใจส่งนักเตะลงสนาม ซึ่งในเกมนี้การส่ง เดยัน ลอฟเรน ลงสนามมาแทน เจอร์ราร์ด สร้างความมึนงงให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก แม้จะเข้าใจว่าต้องการเน้นผลการแข่งขัน แต่ตามตำแหน่งแล้วก็ควรจะเป็นดาวรุ่ง จอร์แดน โรสซิเตอร์ มากกว่า

ADS