สตีเฟ่น ไรท์ กับบทสัมภาษณ์ "มันเป็นสิ่งที่เยาวชนต่างใฝ่ฝันที่จะทำมัน"
หากคุณมีเพียงหนึ่งประตูที่เคยทำได้ตลอดอาชีพการค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล แล้วประตูที่คุณทำได้กับอยู่ในช่วงเวลาสุดแสนจะพิเศษ นั่นคงทำให้ใครหลายคนนึกประตูของ สตีเฟ่น ไรท์ ที่ทำได้จากเกมเจอ โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์
ไม่มีฉากไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับเด็กหนุ่มท้องถิ่นวัย 21 ปี เมื่อในวันที่ 30 ตุลาคม ปี 2001 ค่ำคืนในแชมเปี้ยนส์ลีกที่สนาม แอนฟิลด์ เราได้เห็นการห่ำหั่นกันในระดับชั้นสูงของฟุตบอล และจังหวะฟรีคิกที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้ลุ้นเหลือเกินโดยมี เดอะ ค็อป" มองอยู่เบื้องหน้า
มันดูเหมือนจะเป็นโชคชะตาสำหรับกองหลังผู้นี้ที่กำหนดให้เขาเป็นผู้ทำประตู ก่อนจะร่วมฉลองไปกับเพื่อนร่วมทีมหลังจบการแข่งขัน
ในนาทีที่ 81 ของเกมการแข่งขัน ไรท์ ได้ทำในสิ่งที่ทุกคุณต่างปราถนาอยากจะทำเช่นนั้นต่อหน้า เดอะ ค็อป มันเป็นวินาทีแห่งการระเบิดอารมณ์ออกมาจากตัวเขา และมันไม่มีวี่แววจะมอดไหม้ไปเลยเป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น
"ผมไม่คิดว่าผมนอนหลับได้ลงตลอดวันหรือสองวันหลังจากนั้น" สตีเฟ่น ไรท์ ให้สัมภาษณ์ผ่าน Liverpoolfc.com
"ทันทีที่ผมยิงได้ ผมทั้งล้มทั้งคลานกว่าผมจะสามารถพยายามมุ่งไปหากลุ่มกองเชียร์ เดอะ ค็อป ทั้ง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด มีแต่จะเพิ่มอารมณ์ให้ผมยิ่งทวีขึ้น"
มันเป็นค่ำที่เขาจะจดจำไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา แต่ชีวิตของเขากับ ลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ฝันไว้ ก่อนเกม ดอร์ทมุนด์ เพียง 3 วัน ไรท์ ไม่แม้แต่จะมันใจเสียด้วยซ้ำว่าติดอยู่ในทีมสำหรับเกมยุโรปหรือไม่
อย่างไรก็ตามกุนซืชั่วคราวอย่าง ฟิล ธอมป์สัน กับเชื่อมั่นในความเป็น สเกาเซอร์ และลองเปิดโอกาสสำหรับเขาในเกมที่ แอนฟิลด์ นัดนี้
ความไว้เนื้อเชื่อใจของ ธอมป์สัน ทำให้ ไรท์ ได้เป็นส่วนหนึ่งให้ทีมเอาชนะ ดอร์ทมุนด์ 2-0 และจบในตำแหน่งแชมป์กลุ่มเข้าไปเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ทำประตูขึ้นนำให้ ลิเวอร์พูล ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะจากสองประตูสุดสำคัญ แต่ก่อนจบเกมพวกเขาต้องเจอกับปัญหารับมือจากการโจมตีอย่างหนักจาก ดอร์ทมุนด์ ในตำแหน่งแบ็กขวาที่เขารับผิดชอบ
"ไม่มีใครมาช่วยผมรับมือเท่าที่ควร ผมก็แค่รู้สึกว่าเหมือนไม้กางเขนเตรียมขึงเพื่อรอผมเอาไว้แล้ว ผมแค่พยายามเคลียร์บอลออกไปให้ไกลที่สุดนับตั้งแต่นาทีถัดไปหลังผมทำประตูได้"
"มันเป็นเรื่องที่แปลกนะ โอกาสที่ผมจะทำประตูได้ในแต่ละเกมนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่มันดันเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น ซึ่งทุกคนต่างดีใจไปกับผม ที่เด็กหนุ่มท้องถิ่นคนนึงสามารถทำประตูแรกซึ่งเกิดขึ้นใน แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย"
เขาไม่สามารถรีเพลย์จังหวะทำประตูให้เห็นโดยการแสดงท่าทาง ให้เหมือนกับช่วงเวลานั้นได้อย่างระเอียดครบถ้วน ดั่งแล่นภาพออกมาจากหัวเขาในระหว่างสนทนา ณ ขณะนี้ แต่เขาก็จดจำความรู้สึกตอนนั้นได้อย่างครบถ้วนไม่เปลี่ยนแปลง
"ทันทีที่ทุกคนได้พูดถึงผมในเหตุการณ์นั้น ย่อมมีภาพและมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่แน่นอนภาพเหล่านั้นมันยังคงอยู่ในหัวของคุณและยังคงอยู่ในหัวของคุณอยู่ ณ เวลานี้"