14. แยน โมลบี้

แยน โมลบี้
ชื่อ : แยน โมลบี้
สัญชาติ : เดนมาร์ก
วันเกิด : 4 กรกฎาคม 1963
ตำแหน่ง : กองกลาง
ลงเล่น : 292 นัด
ยิงประตู : 61 ประตู
เท้าที่ถนัด : เท้าขวา
ย้ายร่วมทีม : 22 สิงหาคม 1984
นัดแรก : 25 สิงหาคม 1984

ประวัติส่วนตัว "แยน โมลบี้"

ประวัติส่วนตัว

          แยน โมลบี้ (เกิด 4 กรกฎาคม 1963) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวเดนมาร์กและผู้จัดการทีม ในฐานะนักเตะเขาลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตั้งแต่ปี 1982 จนถึงปี 1998 และใช้เวลากว่า 12 ปีในการเล่นอยู่กับ ลิเวอร์พูล หลังจากที่เขาเริ่มต้นการค้าแข้งกับ โคลดิ้ง และ อาแจ็กซ์ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้เวลากับ "หงส์แดง" ยาวนานกว่า 1 ทศวรรษ เขาติดทีมชาติให้กับ เดนมาร์ก 33 ครั้ง และยิงไป 2 ประตู

          หลังจากอำลาสโมสร ลิเวอร์พูล ไปแล้ว เขากลายเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมให้กับ สวอนซี ซิตี้ และใช้เวลากว่า 2 ปีอยู่ที่นั่น ก่อนที่รับงานคุมทีม คิดเดอร์มินสเตอร์ แฮร์ริเออร์ส พาเลื่อนชั้นสู่ฟุตบอลลีกในปี 2000 ซึ่งต่อมาเขาได้คุมทีม ฮัลล์ ซิตี้ อยู่หนึ่งปี ก่อนที่จะถูกเรียกตัวไปทำทีม คิดเดอร์มินสเตอร์ แฮร์ริเออร์ส เป็นครั้งที่สอง

ประวัติการค้าแข้ง

- โคลดิ้ง และ อาแจ็กซ์ (1981-1984)

          เขาเกิดที่ โคลดิ้ง และ โมลบี้ เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลกับสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในบ้านของเขา โคลดิ้ง เอฟซี ซึ่งเขาได้เป็นกัปตันทีมด้วยวัย 19 ปี ก่อนที่จะเข้าร่วมกับสโมสร อาแจ็กช์ และได้แชมป์ลีกดัตช์ ในปี 1983

- ลิเวอร์พูล (1981-1988)

          โจ เฟแกน ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ได้ชวนให้ โมลบี้ เข้ามาทดสอบฝีเท้าเป็นระยะเวลา 10 วัน จนท้ายที่สุดเขาก็ได้เซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1984 และลงสนามเป็นครั้งแรกในอีกสามวันต่อมา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1984 ในเกมลีกที่เสมอกับ นอริช ซิตี้ 3-3 ที่สนาม แคร์โรว์ โร้ด ประตูของเขากับ "หงส์แดง" เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1984 ในเกมลีกที่พ่ายให้กับ เชลซี 1-3 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ การเปิดตัวเขาในฤดูกาลแรกกับ ลิเวอร์พูล น่าผิดหวัง เมื่อทีมไม่สามารถคว้าแชมป์รายการหลัก ๆ ไม่ได้เลยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1975

          ในปี 1985-86 เคนนี่ ดัลกลิช ที่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ได้มอบความศรัทธาให้กับ โมลบี้ ด้วยการส่งเขาลงสนามเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง เขาเริ่มลงเล่นในตำแหน่ง เซ็นเตอร์แบ็คตัวที่สาม หรือสวีปเปอร์ ก่อนที่จะถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์เคียงข้างกับ สตีฟ แม็คมาน มันทำให้เขาระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาด้วยการยิง 21 ประตู ในปี 1985-86 จากบทบาทมิดฟิลด์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นฤดูกาลที่สุดยอดที่สุดของตัวเขา ซึ่งจุดหัวมุมของฤดูกาลนี้คือการที่ โมลบี้ ได้รับเป็น "แมน อ๊อฟ เดอะ แมตช์" เป็นครั้งแรกในการพบกันระหว่างสองทีมจากย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ อย่าง ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ

          ช่วงปรี-ซีซั่นของปี 1987 โมลบี้ ต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่เท้า ซึ่งนั่นเป็นจุดเปลี่ยนในการค้าแข้งของเขาเลยก็ว่าได้ ทำให้เขาพลากลงสนามในช่วง 3 เดือนแรกของฤดูกาล 1987-88 และการเข้ามาของ จอห์น บาร์นส์ ในตำแหน่งปีกซ้าย กับการย้าย รอนนี่ วีแลน มาลงเล่นแทนในตำแหน่งของ โมลบี้ ซึ่งกลายเป็นการจับคู่อย่าลงตัวระหว่าง วีแลน กับ แม็คมาน พาทีมประสบความสำเร็จ แต่ วีแลน ได้รับบาดเจ็บในช่วงท้ายฤดูกาล จึงเป็นโอกาสให้ โมลบี้ กลับมาลงสนามอีกครั้งในตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวกลาง ที่เดิมของเขา แต่สุดท้ายเขาก็หลุดออกจาก 11 ผู้เล่นตัวจริงโดยอัตโนมัติ และกลายเป็น วีแลน กับ แม็คมาน ที่เป็นตัวเลือกแรกในชุดของ ดัลกลิช

          ในปี 1988-89 โมลบี้ กลับสู่ทีมชุดแรกอีกครั้ง และเปลี่ยนบทบาทเป็นกองหลังตัวกลาง แทนที่การขาดหายไปของ อลัน ฮันเซ่น ที่ได้รับบาดเจ็บ และยิงประตูประตูชัยเอาชนะ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนาม แอนฟิลด์ ในเกมที่สองของฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ในเดือน ตุลาคม 1988 เขาถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 3 เดือน จากคดีขับรถโดยประมาท ซึ่งสโมสรยังคงยืนอยู่เคียงข้างเขา และกลับมาก็ยังได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงอีกครั้งในเดือน มกราคม 1989 แต่เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บในเดือนมกราคมยาวจนถึงสิ้นฤดูกาลนั้น

          โมลบี้ เกือบที่จะลุล่วงสัญญากับสโมสร บาร์เซโลน่า ในเดือนพฤศจิกายนปี 1990 หลังจากตกลงค่าตัวกันเป็นที่เรียบร้อยด้วยมูลค่า 1.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 87 ล้านบาท) กับระยะสัญญา 4 ปี ซึ่งในเกมที่เขายิงจุดโทษเอาชนะ ลูตัน ทาวน์ 4-0 ในบ้าน หลังจากนั้นเขาก็ได้ประกาศอำลาต่อหน้าแฟนบอล "เดอะ ค็อป" อย่างไรก็ตามการเจรจาต้องล่มลงไป และทำให้เขาได้อยู่ต่อในถิ่น แอนฟิลด์ ยาวไปอีก 5 ปี ก่อนที่เขาจะตัดสินใจออกจากสโมสรในท้ายที่สุด

          ในช่วงต้นฤดูกาลของ 1995-96 รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ได้ตัดสินใจปล่อยยืมเขาให้กับ บาร์นสลี่ย์ กับ นอริช ซิตี้ และในเดือนกุมภาพันธ์ 1996 เขาได้เลือกทางเดินใหม่ด้วยการอำลาสโมสรที่ร่วมงานกันมานานกว่าหนึ่งทศวรรษ เพื่อไปรับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมของ สวอนซี ซิตี้ และเขาก็กลายเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยในพรีเมียร์ลีก ด้วยวัย 32 ปี

          ในขณะที่เขาเล่นอยู่ที่ ลิเวอร์พูล ยิงประตูไปได้ทั้งสิ้น 62 ประตู ซึ่ง 42 ประตูมาจากการยิงจุดโทษ เขาพลาดจุดโทษเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ครองสถิติผู้ที่ยิงจุดโทษมากที่สุดเป็นอันดับสองของพรีเมียร์ลีก รองจาก แมทธิว เลอ ทิสซิเออร์ และเขาเป็นผู้เล่นที่ยิงจุดโทษมากที่สุดเป็นสถิติของสโมสร ลิเวอร์พูล

เกียรติประวัติและผลงานที่ผ่านมา

นักฟุตบอล

ระดับสโมสร

- อาแจ็กซ์
          - แชมป์ เอริดิวิซี่ 1 สมัย : (1982-83)
          - แชมป์ ดัตช์ คัพ 1 สมัย : (1982-83)

- ลิเวอร์พูล
          - แชมป์ ดิวิชั่น หนึ่ง 3 สมัย : (1985-86, 1987-88, 1989-90)
          - แชมป์ เอฟเอ คัพ 3 สมัย : (1985-86, 1988-89, 1989-90)
          - แชมป์ ลีก คัพ 1 สมัย : (1994-95)
          - แชมป์ เอฟเอ ชาริตี้ ชิลด์ 4 สมัย : (1986, 1988, 1989, 1990)


mormao 2015-07-17 17:42:34