9. เอียน รัช

เอียน เจมส์ รัช
ชื่อ : เอียน เจมส์ รัช
สัญชาติ : เวลส์
วันเกิด : 20 ตุลาคม ค.ศ. 1961
ตำแหน่ง : กองหน้า
ลงเล่น : 660 นัด
ยิงประตู : 346 ประตู
เท้าที่ถนัด : เท้าขวา
ย้ายร่วมทีม : 1 พฤษภาคม 1980 / 18 สิงหาคม 1988
นัดแรก : 13 ธันวาคม ค.ศ. 1980

ประวัติส่วนตัว "เอียน เจมส์ รัช"

ประวัติส่วนตัว

          เอียน เจมส์ รัช เจ้าของฉายา "เพชรฆาตติดหนวด" เกิดวันที่ 20 ตุลาคม 1961 ที่ เซนต์ เอซาฟ ในประเทศเวลส์ เป็นอดีตกองหน้าทีมชาติเวลส์ และ ลิเวอร์พูล ได้รับยกย่องให้เป็นกองหน้าชั้นนำของยุโรป ในยุค 80 และต้นยุค 90 ดาวเตะชาวเวลส์ผู้นี้ถือเป็นนักเตะที่มองเกมอย่างยอดเยี่ยมและยิงประตูได้เฉียบคมอย่างมาก โดย เอียน รัช กับคู่หูของเขา เคนนี ดัลกลิช ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขว้างว่าเป็นคู่กองหน้าที่ดีที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ

          ในระดับสโมสร เอียน รัช เคยค้าแข้งกับสโมสรชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล, ยูเวนตุส, ลีดส์ ยูไนเต็ด, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ เร็กซ์แฮม ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับสโมสร ซิดนีย์โอลิมปิก ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2000

ประวัติการค้าแข้ง

- เชสเตอร์ ซิตี้ : 1979-1980

          รัชก็เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยการเข้าร่วมทีม เชสเตอร์ ซิตี้ ในระดับดิวิชั่น 3 (เดิม) หลังฉายแววเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เขาได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ในปลายฤดูกาล 1978-1979 โดยเขาประเดิมลงสนามนัดแรกในตำแหน่งกองกลาง เมื่อเดือนเมษายน ปี 1979 ในเกมพบ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ซึ่งจบลงที่ผลเสมอ 2-2 แต่หลังจากนั้นในฤดูกาล 1979-1980 เขาก็ได้เล่นตำแหน่งกองหน้า โดยยิงประตูแรกในอาชีพนักฟุตบอลได้ในเกมที่ เชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกับ จิลลิ่งแฮม 2-2 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 1979 และเดือนต่อมาเขาก็ยึดตำแหน่งตัวจริงได้เมื่อสโมสรตัดสินใจขาย เอียน เอ็ดเวิร์ดส์ กองหน้าของทีมออกไปให้เร็กซ์แฮม

          ชื่อของ เอียน รัช เริ่มถูกพูดถึงเมื่อเป็นผู้ยิงประตูให้ เชสเตอร์ ซิตี้ บุกเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไปอย่างพลิกล็อก 2–0 ในเอฟเอคัพ รอบ 3 ในเดือนมกราคม ปี 1980 ก่อนจะมาแพ้ อิปสวิช ทาวน์ ในอีก 2 รอบต่อมา แมตช์สุดท้ายของเขาและ เชสเตอร์ ซิตี้ คือเกมที่เปิดบ้านพบกับ เซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ด ที่สนามซีแลนด์ โร้ด สนามเหย้าของทีมในเวลานั้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1980 ซึ่งถึงแม้ เอียน รัช จะยิงประตูไม่ได้แต่ทีมก็ชนะ 2-1 และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 9 ในดิวิชั่น 3

          แม้จะได้รับความสนใจจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่กลับเป็น ลิเวอร์พูล ที่สามารถคว้าตัวดาวรุ่งแห่งเวลส์ผู้นี้มาได้ เมื่อ บ็อบ เพลสลีย์ กุนซือของ ลิเวอร์พูล ซื้อตัวเขามาจาก เชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคาถึง 300,000 ปอนด์ (ประมาณ 16 ล้านบาท) และเป็นสถิติการขายผู้เล่นที่ได้ค่าตัวสูงสุดของ เชสเตอร์ ซิตี้ จนกระทั่งพวกเขาล้มละลายในเดือนมีนาคม ปี 2010

          ตลอดช่วงเวลาของเขาที่เชสเตอร์ ซิตี้ เขาอยู่ภายใต้การคุมทีมของอลัน โอ๊คส์ และผู้ที่มีส่วนอย่างยิ่งในการพัฒนาฟอร์มการเล่นของเขาก็คือ คลิฟฟ์ เซียร์ โค้ชทีมเยาวชนของ เชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งภายหลังอีก 20 ปีต่อมาทั้งคู่ได้ร่วมงานกันอีกครั้งในทีมงานสตาฟฟ์โค้ชของ เร็กซ์แฮม

- ลิเวอร์พูล : 1980-1987

          เอียน รัช ได้เล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 ก่อนที่เขาจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล โดยการลงสนามนัดแรกของเขาให้ ลิเวอร์พูล ต้องรอถึงวันที่ 13 ธันวาคม ปีเดียวกัน ในเกมดิวิชั่น 1 พบกับทีม อิปสวิช ทาวน์ ซึ่ง รัช ใช้เวลาบางช่วงในฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูลในทีมสำรองเพื่อศึกษาแนวทางของทีม และต้องฝึกฝนไม่ต่างจากดาวรุ่งคนอื่น ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่

          ประตูแรกของเขาก็มาถึงในวันที่ 30 กันยายน 1981 ในยูโรเปี้ยน คัพ รอบแรก นัดที่ 2 ที่สนามแอนด์ฟิลด์ ในเกมพบสโมสร โอลุน ซึ่งในนัดแรก ลิเวอร์พูล บุกไปชนะมา 1-0 และในนัดที่ 2 "หงส์แดง" ไล่ถล่มทีมจากฟินแลนด์ไป 7–0 รัช ยิงประตูได้ในนาทีที่ 67 และในฤดูกาลนั้นเขาปิดฉากอย่างสวยหรูด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของสโมสร เมื่อยิงไป 30 ลูก จากการลงสนาม 49 เมื่อรวมทุกรายการ อัตราเฉลี่ยยิง 1 ประตูต่อ 1.6 เกม และเป็นการยิงในลีกถึง 17 ประตู และพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกในที่สุด

          ฤดูกาล 1982-1983 เขาได้รับเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งพีเอฟเอ หลังนำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดและชนะเลิศถ้วยลีกคัพ โดยยิงในลีกไป 24 ประตูและมีแต้มห่างจากอันดับ 2 อย่างวัตฟอร์ดถึง 11 คะแนน โดยในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1982 เอียน รัช ยิงคนเดียว 4 ประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน ในชัยชนะ 5-0 ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูในเมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์มากที่สุดใน 1 นัด

          ฤดูกาล 1983-1984 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ เมื่อพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและชนะเลิศลีกคัพ อีกทั้งยังคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพได้อย่างยิ่งใหญ่ และเขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษอีก 1 รางวัล ในฤดูกาลนั้นเขายิงระเบิดถึง 47 ประตูจากการลงสนาม 65 นัด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกโดยมีคะแนนห่างจากเซาธ์แฮมป์ตัน 3 คะแนน และชนะคู่ปรับอย่างเอฟเวอร์ตัน 1-0 ในนัดรี-เพลย์ลีก คัพรอบชิงชนะเลิศ รวมถึงคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 ให้สโมสร ด้วยการพาทีมชนะโรม่า 4–2 ในการดวลจุดโทษ (รัช ยิงนำ 3-2 ก่อนที่ บรู๊ซ กร็อบเบลล่า จะงัดลีลาการเซฟจุดโทษด้วยการเต้นเหมือนปลาหมึกที่เป็นตำนานในเวลาต่อมา) หลังจากเสมอในเวลา 1-1

          ฤดูกาล 1984-85 เป็นปีที่ไม่สู้ดีนักของ ลิเวอร์พูล เมื่อสโมสรปราศจากตำแหน่งแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ กับ ยูเวนตุส ที่สนามเฮย์เซลล์ สเตเดี้ยม กรุงบรัซเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เป็นแมตช์ที่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเมื่อกองเชียร์ของทั้ง 2 ทีมก่อเรื่องวิวาทกันจนมีผู้บาดเจ็บกว่า 350 คนและแฟนบอลของ "เจ้าม้าลาย" เสียชีวิตถึง 39 คน และส่งผลกระทบถึงสภาพจิตใจของนักเตะทั้ง 2 ทีม ก่อนที่จะกลับมาแข่งขันกันใหม่และจบลงด้วยชัยชนะ 1-0 ของยูเวนตุส และ "หงส์แดง" เสียแชมป์ลีกให้ เอฟเวอร์ตัน คู่แข่งร่วมเมือง หลังจบฤดูกาลทีมจากอังกฤษ ถูกแบนในเวทีระดับยุโรปถึง 5 ปีจากเหตุการณ์ที่สนามเฮย์เซลส์ ทำให้ เอฟเวอร์ตัน ที่คว้าแชมป์ลีกได้ในปีนั้นไม่ได้ลงแข่งยูโรเปี้ยน คัพในปีต่อมา

          ฤดูกาล 1985-86 ลิเวอร์พูลกลับมาสร้างผลงานอีกครั้ง เอียน รัช ยิงคนเดียว 2 ประตู พาทีมชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-0 ในเกม เอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศ ที่สนามไวท์ ฮาร์ท เลน และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับคู่ปรับสำคัญอย่าง เอฟเวอร์ตัน ซึ่งในเกมนัดดังกล่าวถือเป็น เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ครั้งแรก ทำให้ทั้ง 2 ทีมต้องการชัยชนะในนัดนี้เป็นอย่างยิ่ง โดย ลิเวอร์พูล ซึ่งคว้าแชมป์ลีกได้เรียบร้อยแล้วต้องการชัยชนะเพื่อเป็นทีมที่ 5 ที่คว้าดับเบิลแชมป์ คือได้แชมป์ลีก และ เอฟเอ คัพ ในขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ก็ต้องการถ้วยนี้และที่สำคัญพวกเขาต้องการขัดขวาง ลิเวอร์พูล ในการทำสถิติดังกล่าว โดยเกมจบครึ่งแรกพร้อมกับความได้เปรียบของ เอฟเวอร์ตัน เมื่อได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากประตูของ แกรี่ ลินิเกอร์ ศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษของทีม

          ครึ่งหลังทีม "หงส์แดง" ภายใต้การคุมทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช ที่รับตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมก็กลับมาเล่นด้วยฟอร์มที่ผิดกับครึ่งแรก และ เอียน รัช ก็สามารถยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จในนาทีที่ 57 จากการผ่านบอลของ แยน โมลบี้ และเข้าไปยิงผ่าน บ็อบบี้ มิมส์ ผู้รักษาประตูเอฟเวอร์ตัน อย่างสบายๆ และอีก 6 นาทีต่อมา โมลบี้ ผู้เป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ได้บอลในเขตโทษของเอฟเวอร์ตันก่อนจะผ่านบอลอย่างสุดยอดให้ เคร็ก จอห์นสตัน ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล กลับมาแซงเป็น 2-1 เกมสู้กันอย่างสูสีจนกระทั่งนาทีที่ 84 รัช ก็มายิงประตูชัยได้สำเร็จพร้อมกับพา ลิเวอร์พูล คว้าดับเบิ้ลแชมป์หนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรและได้รับรางวัลแมน อ๊อฟ เดอะ แมตช์หลังจบเกมส์

- ยูเวนตุส : 1987-1988

          หลังได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมในยุโรป ทำให้เขาเริ่มคิดถึงการย้ายออกจากถิ่นแอนด์ฟิลด์ ในช่วงต้นฤดูกาล 1986-1987 และในวันที่ 1 กรกฎาคม 1987 เขาก็ถูกขายให้สโมสร ยูเวนตุส มหาอำนาจลูกหนังในแดนอิตาลี ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 160 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการย้ายทีมไปเล่นให้กับคู่กรณีในเกมส์แห่งความหายนะที่สนามเฮย์เซลส์ ทั้ง 2 สโมสรฟื้นฟูความสัมพันธ์กันอีกครั้งและมีการเตะแมตช์กระชับมิตรของทั้ง 2 สโมสร และดูเหมือนว่ามันจะเป็นความท้าทายใหม่ของ รัช ในการที่จะต้องถูกกองหลังประกบตายในลีก อิตาลี แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ประสบความสำเร็จที่นี่ เมื่อยิงได้เพียง 12 ประตูจาก 29 นัด และพบกับช่วงเวลายากลำบากใน ตูริน

          หลังเล่นที่อิตาลีอยู่ 1 ฤดูกาลเขาก็ย้ายกลับถิ่นแอนด์ฟิลด์อีกครั้งด้วยค่าตัวถึง 2 ล้าน 7 แสนปอนด์ในวันที่ 18 สิงหาคม 1988 และเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษ ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายในอีก 3 ปีต่อมา

- ช่วงที่ 2 ในถิ่นแอนด์ฟิลด์ : 1988-1996

          หลังกลับมา แอนด์ฟิลด์ รัชต้องแย่งตำแหน่งกองหน้าในทีมกับ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ และ จอห์น อัลดริดจ์ ผู้มาแทนที่เขาในช่วงที่ผ่านมา และด้วยสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกันทำให้พวกเขาไม่สามารถลงเล่นพร้อมกันหมดได้ จอห์น อัลดริดจ์ เริ่มฤดูกาลอย่างยอดเยี่ยมด้วยการยิงประตูที่สม่ำเสมอ จึงทำให้นักเตะจาก เวลส์ ต้องนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรอง และดูเหมือน รัช จะกลับมาเข้าฟอร์มอีกครั้งในเกมส์ที่ยิง 2 ประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน พาทีมชนะ 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 1989 โดยเขาเป็นตัวสำรองที่ลงมาแทน จอห์น อัลดริดจ์ ผู้ซึ่งเป็นคนยิงประตูแรกให้ทีมในช่วงต้นเกมส์ก่อนที่เกมส์จะจบลงในช่วงเวลาปกติที่ 1-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ รัช พาทีมขึ้นนำอีกครั้ง จากนั้น สจ๊วต แมคคอลล์ กองกลางของเอฟเวอร์ตันยิงประตูตีเสมอ 2-2 แต่รัชผู้กลับมายิงประตูเฉียบคมก็ยิงประตูชัยในนาทีที่ 103 พาสโมสรคว้าแชมป์อย่างสุดตื่นเต้น

          ฤดูกาล 1989-90 รัช ได้แชมป์ลีกอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 ของเขา และเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้าย โดย ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลด้วยการทำแต้มห่างจากอันดับ 2 อย่าง แอสตัน วิลล่าถึง 9 แต้ม และ เอียน รัช ยิง 18 ประตู จาก 36 นัด แต่สโมสรพลาดการคว้าดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัยอย่างน่าเสียดาย เมื่อพลาดท่าแพ้ต่อ คริสตัล พาเลซ ไปแบบเหลือเชื่อ

          ในปี 1992 เขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 3 ของตนเองได้สำเร็จ เมื่อเป็นผู้ยิงประตูที่ 2 ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในชัยชนะเหนือ ซันเดอร์แลนด์ 2-0 ที่สนามเวมบลี่ย์ ในลีกเขาต้องพบการปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ได้ลงสนามในลีกเพียง 18 นัดและยิงได้เพียง 3 ประตูเท่านั้น แต่หนึ่งในนั้นเป็นการยิงประตูใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และพาทีมคว้าชัยชนะในแมตช์ดังกล่าว

          รัช คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 5 ของตัวเองในปี 1995 เมื่อ 2 ประตูของ สตีฟ แม็คมานามาน ดับฝัน โบลตัน ที่หวังจะสร้างปาฏิหาริย์ แต่กลับแพ้ 2-1 และเขาปิดฉากกับสโมสรในเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศปี 1996 กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยรัชเป็นผู้เล่นตัวสำรอง แต่จบลงด้วยความผิดหวังเมื่อเอริก กองโตนายิงประตูชัยพาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ในท้ายที่สุด

          โดยรวมแล้ว รัช ยิงไป 346 ประตูในการลงสนามในทีมชุดใหญ่เกือบ 658 นัด ถึงแม้ว่าในลีกเขาจะยิงได้น้อยกว่าสถิติสโมสรของ โรเจอร์ ฮันท์ ที่ทำได้ 245 ประตูก็ตามแต่นั่นเป็นสถิติเดียวที่ รัช เป็นรองในสโมสร ในถ้วยเอฟเอคัพเขายิงให้ ลิเวอร์พูล 39 ลูก (จากทั้งหมด 44 ลูก) ในขณะที่ประตูรวมในนัดชิงชนะเลิศเขาทำได้ 5 ประตู (2 ประตูในปี 1986 และ 1989 และ 1 ประตูในปี 1992 ทั้งหมดส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์) นับเป็นสถิติรายบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล รัช ยังเป็นเจ้าของยิงประตูในลีก คัพมากที่สุดด้วยจำนวน 49 ประตู เช่นเดียวกับเจฟฟ์ เฮิร์สท์ และเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ชนะการแข่งขันรายการดังกล่าวถึง 5 ครั้ง รวมถึงเป็นกัปตันทีมพา ลิเวอร์พูล ลงแข่งกับ โบลตัน ในนัดชิงชนะเลิศปี 1995 เขายิง 10 ประตูในการลงสนามที่เวมบลี่ย์ ทั้งหมด 18 นัด

          นอกจากนี้ รัช ยังคว้าแชมป์ลีกกับ "หงส์แดง" ได้ 5 สมัย ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 สมัย และได้รับราลวัลเครื่องราชย์ชั้นเอ็มบีอี รัช ทำสถิติยิงประตูในศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ กับ เอฟเวอร์ตัน ได้ทั้งหมด 25 ประตู ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำแห่งยุโรป ด้วยการยิง 32 ประตูในลีกในปี 1984 และได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จาก 2 สถาบัน

- ปลายชีวิตค้าแข้ง : 1996-2000

          รัช ต้องกล่าวอำลาถิ่นแอนฟิลด์ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1996 เมื่อเขาย้ายไปร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด รัชที่ล่วงเลยจุดสุดยอดมาแล้วยิงได้ 3 ประตูจากการลงเล่น 36 นัดในพรีเมียร์ลีก และถูกปล่อยตัวเมื่อจบฤดูกาล

          ในฤดูกาล 1996-1997 เขาย้ายไปร่วมทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในสัญญาระยะสั้น 1 ปี และช่วงหลังคริสต์มาสเขาต้องสูญเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม เมื่อ อลัน เชียเรอร์ หายจากอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามเขายิงประตูสำคัญให้ทีมได้ในนัดที่ชนะ เอฟเวอร์ตัน 1-0 ใน เอฟเอ คัพ รอบ 3 ซึ่งเป็นประตูที่ 43 ของเขาในรายการนี้

          เขาย้ายไปร่วมทีม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในแบบยืมตัวในช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปเล่นให้ เร็กซ์แฮม ด้วยอายุ 37 ปี รัช ลงสนามในลีก 18 นัดแรกแต่ยิงประตูไม่ได้และย้ายไปเล่นตำแหน่งกองกลางจบจบฤดูกาล และเขาเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป้นทางการที่ออสเตรเลียกับทีม ซิดนี่ย์ โอลิมปิก ในปี 2000 ในวัย 38 ปี


เกียรติประวัติและผลงานที่ผ่านมา

- ลิเวอร์พูล
          - แชมป์ดิวิชั่น หนึ่ง 5 สมัย : (1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1989-90)
          - แชมป์เอฟเอ คัพ 3 สมัย : (1985-86, 1988-89, 1991-1992)
          - แชมป์ ลีก คัพ 5 สมัย : (1980-81, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1994-95)
          - แชมป์ เอฟเอ ชาริตี้ ชิลด์ 3 สมัย : (1982, 1986, 1990)
          - แชมป์ ยูโรเปียน คัพ 2 สมัย : (1980-81, 1983-84)

เกียรติประวัติส่วนตัว

          - นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ 1 สมัย : (1983)
          - นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของผู้เล่นพีเอฟเอ 1 สมัย : (1984)
          - นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากผู้สื่อข่าวกีฬาฟุตบอล 1 สมัย : (1984)
          - ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีจากผู้สื่อข่าวกีฬาฟุตบอล 5 สมัย : (1983, 1984, 1985, 1987, 1991)
          - ดาวซัลโวของยุโรป 1 สมัย : (1984)
          - ดาวซัลโวของดิวิชั่นหนึ่ง 1 สมัย : (1984)
          - ดาวซัลโวของทีมลิเวอร์พูล 9 สมัย : (1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1986-87, 1989-90, 1990-91, 1992-93, 1993-94)

สถิติ

          - ยิงประตูในเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ 5 ประตู
          - ยิงประตูในเกม ลีก คัพ 49 ประตู (48 ประตูกับ ลิเวอร์พูล) ร่วมกับ เจฟฟ์ เฮิร์ส
          - นักเตะคนแรกที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ลีก คัพ 5 สมัย
          - ยิงประตูให้กับทีมชาติเวลส์ 28 ประตู
          - ยิงประตูให้กับ ลิเวอร์พูล 346 ประตู
          - ผู้ทำประตูสูงสุดในลีก อันดับ 3 ให้กับ ลิเวอร์พูล 229 ประตู (อันดับ 1 โรเจอร์ ฮันท์ 245 ประตู และอันดับ 2 กอร์ดอน ฮอดจ์สัน 233 ประตู)
          - ยิงประตูในเกม เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้ 25 ประตู
          - เป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดของ เชสเตอร์ ซิตี้ (300,000 ปอนด์)


2014-02-03