บิล แชงก์ลี่ย์

วิลเลี่ยม แชงก์ลี่ย์
ชื่อ : วิลเลี่ยม แชงก์ลี่ย์
สัญชาติ : สกอตแลนด์
วันเกิด : 2 กันยายน 1913
ตำแหน่ง : อดีตผู้จัดการทีม
เซ็นสัญญา : -
อยู่กับทีมมาตั้งแต่ : -

ประวัติส่วนตัว "วิลเลี่ยม แชงก์ลี่ย์"

     

     บิล แชงก์ลี่ย์ เคยเขียนไว้ในชีวประวัติส่วนตัวว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องทำงานอย่างหนัก และต้องค้นพบตัวเองให้เจอเสียก่อน แชงก์ลี่ย์ มีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ และมีความพยายามสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของคนที่จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว แชงค์ลี่ย์มีปรัชญาการคุมทีมอย่างง่ายๆ คือ ฟุตบอลแบบพื้นๆ แต่เน้นการส่ง และรับบอล อย่างแม่นยำ เล่นกันเป็นทีมมากกว่า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทีมลิเวอร์พูลมาจวบจนปัจจุบัน


     สิ่งแรก ที่บ แชงก์ลีย์ ตัดสินใจทำการปฏิวัติ คือ เมล วู๊ด สนามซ้อมของทีม ลิเวอร์พูล ที่มีสภาพเลวร้ายมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพทุ่งหญ้า ที่รก หรือ มีก๊อกน้ำ แค่ที่เดียว ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่นั่นหรือ คือ หนึ่งในสโมสรใหญ่ของที่สุดบนเกาะอังกฤษ แต่แชงคลีย์ จัดการเปลี่ยนมันซะ โดยนำผู้เล่น ย้ายไปซ้อม และปรับปรุงที่เมล วู๊ด แทนที่จะใช้แอนฟิลด์ เป็นที่ซ้อม นำการฝึกซ้อมแบบใหม่ นำฟิตเนสมาใช้ รวมไปถึงโปรแกรมทางโภชนาการ


     อีกอย่างที่ บิล แชงก์ลีย์ เน้นแก่ผู้เล่น คือการวอร์มร่างกายก่อนลงเล่นให้ถูกวิธีเพื่อลดอาการบาดเจ็บ สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานความสำเร็จของลิเวอร์พูลในเวลาต่อมา พร้อมกับริเริ่มการซ้อมจากพื้นฐานเล่นบอลโต๊ะเล็ก บอลห้าคน เป็นที่มาการต่อบอลสวยงาม แบบพาสส์ แอนด์ มูฟ รวมถึง บูทรูม สตาฟฟ์ สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานความสำเร็จของลิเวอร์พูลในเวลาต่อมา

     แม้ว่าช่วงแรกของบิล แชงกืลี่ย์ กับลิเวอร์พูล จะเป็นไปอย่างทุลักทุเล โดยใช้เวลาสองปีในการกลับมาเล่นดิวิชันหนึ่ง ผู้เล่นใหม่ทีถูกเสริม เป็นกำลังหลักยุคแรก แชงก์ลีย์ ก็คือ รอน ยีสต์, เอียน จอหน์ และ กอร์ดอน ไมน์ หลังเลื่อนชั้นขึ้นมา ในปี 1961-1962 เป้าหมายสำหรับแชงก์คลีย์ คือการล้ม เอฟเวอร์ตันที่กำลัง รุ่งโรจน์อยู่ในยุคนั้น

     ในปี 1963-1964 บิล แชงก์ลีย์ ก็ทำสำเร็จตามเป้า เมื่อแย่ง แชมป์ดิวิชันหนึ่ง มาจากเอฟเวอร์ตันได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จดังกล่าว ได้สร้างความเกลียดชังต่อ บิล แชงก์ลี่ย์ เป็นอย่างมากในหมู่แฟนบอลเอสเวอร์โตเนียน จากนั้น "หงส์แดง" มาสานความสำเร็จในปี 1965 ด้วยการคว้าแชมป์เอฟ เอ คัพ มาครองอีกใบ


     แม้จะประสบสำเร็จอย่างงดงามกับฟุตบอลลีก อังกฤษ แต่การเล่นในบอลยุโรป ยังเป็นปัญหา แก่บิล แชงก์ลีย์ ในช่วงแรก กับการปรับสไตล์การเล่นเพื่อให้ทันเกมระดับทวีป เริ่มจากรายการ คัพ วินเนอร์ คัพ พวกเขาต้องพ่ายให้กับ อินเตอร์ มิลาน ยุติเส้นทางไปอย่างรวดเร็ว ปีต่อมา ยูโรเปี้ยน คัพ เด็กหงส์ต้องเจอฤทธิ์ ของเด็กหนุ่ม 19 ปี นามว่า โยฮัน ครัฟ นำพลพรรค อาแจ๊กซ์ เตะ ลิเวอร์พูลตกรอบ ผลรวม 7 - 3 (แพ้ที่อัมสเดอร์ดัม 1-5)

     หลังจากคว้าแชมป์ลีกในปี 1966 สภาพทีมชุดแรกเริ่มอยู่ในช่วงปลดระวาง ผู้เล่นหลายๆคนอายุเริ่มเยอะ ทำให้เขาต้องซื้อนักเตะใหม่ และสร้างแข้งใหม่ขึ้นมา โดยบรรดานักเตะ ลิเวอร์พูล ชุดสอง ของเขาที่สร้างขึ้นมาล้วนแต่เป็นนักเตะบันลือโลก ไม่ว่าจะเป็น เควิน คีแกน, เรย์ คลีเมนท์ และ แลรรี่ ลอยด์ พวกเขาเหล่านี้ บวกกับ นักเตะเก่าที่ยังเหลืออยู่ ช่วยสานฝันความสำเร็จ โดยเริ่มต้นที่ถ้วยยูฟ่า คัพ ใน ปี 1973 พร้อมกวาดแชมป์ลีกครั้งที่สาม และสานต่อแชมป์เอฟ เอ คัพ ในปีต่อมา

     คุณสมบัติ เฉพาะตัว ที่ทำให้ แชงก์ลี่ เป็นยอดผู้จัดการก็คือสายตาในการมองนักเตะที่ไม่ค่อยพลาด นักเตะคนแรกที่สามารถ โชว์ให้เห็นถึงสายตาอันแฟลมคมของ แชงก์ลีย์ ในสใยคุมฮัดเดอร์สฟิลด์ ก็มี เดนนิส ลอว์ ดาวซัลโว ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อ แชงก์ลี่ย์ เซ็น สัญญากับ เดนนิส ลอว์ เจ้าหนูวัย 15 ปี ซึ่งสร้างความตื่นตะลึง พร้อมกับดัน ลอว์ ขึ้นสู่ทีมใหญ่ ในปีต่อมาแค่ด้วยวัย 16 ปี


     กับลิเวอร์พูลเอง แชงก์ลีย์ ก็สร้างตำนานักเตะไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น การซื้อนักเตะ โนเนม นามว่า เควิน คีแกน ในราคา 35,000 ปอนด์ และโด่งดังเป็นพลุแตกในอีก 7 ปีต่อมา และยังมีคนอื่นๆ อีกมากมาย ที่มาจากสายตาที่เฉียบคมของ แชงก์ลีย์ อีกข้อหนึ่ง ที่จะลืมไปเสียไม่ได้ก็คือวาทะ ระดับ โคตรคน ที่ไม่เป็นสองรองใครของ แชงคลี่ย์ มีบุคลิกที่น่าเกรงขามออกแนวบู๊ล้างผลาญพวกนัการเมือง หัวหน้าม๊อบอะไรประมาณนั้น การกระตุ้นลูกทีม จิตวิทยา ไม่มีใครเทียบได้

     แชงก์ลี่ย์ พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อปี 1974 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายในอาชีพผู้จัดการทีม จริงๆแล้ว แชงก์ลี่ย์ คิดจะเกษียรตั้งแต่ปีก่อน ตามคำแนะนำของภรรยา ทว่าด้วยความมุ่งมั่นที่มีต่อสโมสร ทำให้บรมกุนซือตัดสินใจอยู่ช่วยทีมต่ออีกหนึ่งปี จนกระทั่งมายื่นใบลาออกในช่วงซัมเมอร์ปี 1974 พร้อมกับส่งไม้ต่อให้กับบ็อบ เพียสลี่ย์ จากนั้น แชงก์ลี่ย์ ก็ก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารของลิเวอร์พูล ในฐานะบอร์ดบริหาร


     แชงก์ลี่ย์ ป่วยกะทะหัน จนถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล บรอดกรีน แถบชานเมืองลิเวอร์พุล พร้อมกับถูกตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจ จากนั้นอาการของปรมจารย์กุนซือย่ำแย่ลง ก่อนจะยื้อชีวิตไว้ไม่ได้ แล้เสียชีวิตลงในที่สุดเมื่อวันที่ 29 กันยายน เวลา 00.30 ด้วยอายุ 68 ปี ผลกระทบต่อการจากไปของ แชงก์ลี่ย์ ทำให้นักเตะลิเวอร์พูล ต้องยุติการซ้อมในวันถัดมา เพื่อไว้อาลัยต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้

ต่อไปนี้คือวลีอมตะของแชงก์ลี่ย์ บางประโยคที่หยิบยกขึ้นมา

"ในเมืองลิเวอร์พูล มีทีมฟุตบอลที่ ที่สุดแค่สองทีม ได้แก่ ทีม ลิเวอร์พูล และ ทีมสำรองของลิเวอร์พูล"

"คนทั่วไปมักจะพูดกันกว่าฟุตบอลสำคัญเท่ากับชีวิตและความตาย ซึ่งผมจะบอกว่าไม่จริงเลย ....ฟุตบอลสำคัญมากกว่านั้น"

"ผมต้องการสร้างทีมที่ไร้เทียมทาน จนกระทั่งเป็นทีมที่มีแต่มนุษย์ดาวอังคารเท่านั้นที่จะเอาชนะเราได้"

"ฟุตบอลเตะกัน 90 นาทีก็จริง แต่ผมฝึกลูกทีมมาให้เล่นได้ 180 นาที"

"มันมีไว้เพื่อเตือนเด็กๆของเราว่าเขากำลังเล่นเพื่อใคร และเพื่อเตือนคู่ต่อสู้ว่าพวกเขากำลังจะต้องเจอกับใคร"

"ถ้าพวกเอ็งจะเป็นที่หนึ่ง เอ็งก็เป็นที่หนึ่ง ถ้าพวกเอ็งเป็นที่สอง เอ็งก็ไม่มีความหมาย"

"ผมเป็นผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษเพราะผมไม่เคยใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือโกง ใคร ถ้าผมแข่งกับเมียผมผมอาจจะหักขาเธอ แต่ผมจะไม่มีวันโกงเธอ"

สโมสรที่เคยรับงาน
1945-51 : คาร์ไลส์
1951-54 : กริมส์บี้ ทาวน์
1954-55 : วอร์คกิ้ง ทาวน์
1956-59 : ฮัดเดอร์สฟิลด์
1959-74 : ลิเวอร์พูล

เกียรติประวิติส่วนตัว

ดิวิชั่น 1 (3) : 1963–64, 1965–66, 1972–73
ดิวิชั่น 2 (1) : 1961–62
เอฟเอ คัพ (2) : 1964–65, 1973–74
แชร์ริตี้ ชิลด์ (4) : 1964, 1965, 1966, 1974
ยูฟ่า คัพ (1) : 1972–73

ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำปี (1) : 1972–73


2014-01-22