9. ร็อบบี้ ฟาวเลอร์

ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
ชื่อ : ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
สัญชาติ : อังกฤษ
วันเกิด : 09 เมษายน 1975
ตำแหน่ง : กองหน้า
ลงเล่น : 460 นัด
ยิงประตู : 186 ประตู
เท้าที่ถนัด : เท้าขวา
ย้ายร่วมทีม : -
นัดแรก : 13 มกราคม 1993

ประวัติส่วนตัว "ร็อบบี้ ฟาวเลอร์"

     

     ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เริ่มต้นเล่นให้กับทีมเยวชนของ ลิเวอร์พูล ในปี 1991 ก่อนจะเซ็นสัญญาอาชีพในวันที่ 9 เมษายน 1992 เมื่ออายุครบ 17 ปี จากนั้น ฟาวเลอร์ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1993 ในฐานะตัวสำรองในรายการเอฟเอ คัพที่พบกับซึ่งพบกับโบลตัน โดยในปีนั้นฟาวเลอร์ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษชุด ยู-18 คว้าแชมป์ ยู-18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพได้อีกด้วย โดยเจ้าตัวทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้ในเกมที่พบกับฟูแล่มในลีก คัพ รอบแรกซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 3-1 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 1993

     เด็กหนุ่มเท้าซ้าย กดคนเดียว 5 ตุง ในเกมกับ "เจ้าสัวน้อย" เลกสอง ที่แอนฟิลด์ และกลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์สโมสรลิเวอร์พูล ที่ยิง 5 ประตูในนัดเดียว ถัดมาฟาวเลอร์ทำแฮตทริกแรกในการลงเล่นให้ลิเวอร์พูลได้ในเกมที่พบกับเซาแธมป์ตัน ซึ่งต่อมาเค้าถูกเรียกตัวให้ไปติดทีมชาติอังกฤษชุด ยู-21 ในเกมที่พบกับซาน มาริโน ในเดือนพฤศจิกายน 1993 โดยเค้าสามารถทำประตูได้ในเวลาเพียง 3 นาที


     ในฤดูกาล 1994/95 ฟาวเลอร์ได้ลงเล่นถึง 57 เกมและมีส่วนที่ทำให้ลิเวอร์พลูคว้าแชมป์ลีก คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยในฤดูกาลนี้ฟาวเลอร์สามารถสร้างสถิติให้กับตัวเองด้วยการเป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ ลีกเมื่อเค้าใช้เวลาเพียง 4 นาที 33 วินาที ในการยิง 3 ประตู ในเกมที่พบกับอาร์เซน่อล และในปีนั้นฟาวเลอร์ก็ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA (ฟาวเลอร์ได้รางวัลนี้ 2 ครั้งในปี 1995 และ 1996)


     ในปี 1997 ลิเวอร์พูลซื้อสแตน คอลลีมอร์จากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้าคนใหม่ของฟาวเลอร์ และทั้งคู่ก็สร้างผลงานได้ดี และแน่นอนในฤดูกาลนี้มีเกมสุดมันส์ที่จะอยู่ในความทรงจำของฟาวเลอร์แน่นอน เกมที่ชนะนิวคาสเซิล 4-3 เป็นอีกหนึ่งเกมที่ลิเวอร์พูลเล่นกันได้ดี โดยฟาวเลอร์และคอลลีมอร์ทำได้คนละ 2 ประตู

     ในยุคดังกล่าว ฟาวเลอร์อยู่ในกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า "สไปซ์ บอย" โดยมีที่มามาจากวงดนตรี "สไปซ์ เกิร์ล" โดยในกลุ่มประกอบด้วยนักเตะ 5 คน คือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เดวิด เจมส์, เจมี เรดแนปป์, สตีฟ แม็คมานามานและสแตน คอลลีมอร์ฟาวเลอร์เริ่มฟอร์มตกเพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรังในปี 1998 และการก้าวขึ้นมาของไมเคิ่ล โอเว่นในช่วงปี 1997 ก็ทำให้โอกาสของฟาวเลอร์ในถิ่นแอนฟิลด์ก็เริ่มค่อยๆไม่ชัดเจน

     ฤดูกาล 2000/01 ฟาวเลอร์ทำประตูได้ 17 ประตูจากการลงเล่น 48 เกม โดยในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิล แชมป์บอลถ้วยคือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และจากการบาดเจ็บหนักของ เจมี เรดแนปป์ กัปตันทีมตัวจริง ทำให้ฟาวเลอร์ได้รับบทบาทในการเป็นกัปตันทีมของลิเวอร์พูล แต่การเข้ามาคุมทีมของเชรา อุลลิเยร์ ทำให้โอกาสของฟาวเลอร์ในการลงสนามน้อยเกินไป เนื่องจากผู้จัดการชาวฝรั่งเศสเลือกที่จะใช้กองหน้าอย่างไมเคิ่ล โอเว่นและเอมิล เฮสกีย์มากกว่า ทำให้ปลอกแขนกัปตันทีมตกไปอยู่ที่ซามี ฮูเปียซะเป็นส่วนใหญ่

     ฟาวเลอร์เป็นกัปตันทีมในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ในปี 2001 ในรอบชิงชนะเลิศลีก คัพ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยอีกครั้งหลังจากลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1996 ในรายการเอฟเอ คัพโดยในเกมนี้ฟาวเลอร์สามารถยิงประตูสุดสวยให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0 (ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะจุดโทษ) และได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปครองอีก 1 รางวัล


     ในปี 2001 ในรอบชิงเอฟเอ คัพ ฟาวเลอร์ไม่ได้ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงในการพบกับอาร์เซน่อล แต่เจ้าตัวถูกเปลี่ยนลงไปในบทบาทตัวสำรองนาทีที่ 77 แทนที่ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ในขณะที่ทีมตามอยู่ 0-1 ก่อนที่จะจบเกมด้วยการพลิกกลับมาชนะ 2-1 จาก 2 ประตูของไมเคิ่ล โอเว่น ช่วงท้ายเกม โดยในเกมนั้นคนที่ขึ้นไปรับถ้วยเอฟเอ คัพคือ ซามี ฮูเปีย (กัปตันทีม) และ เจมี เรดแนปป์ (กัปตันทีมตัวจริง)

     4 วันหลังจากทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูลก็มีโปรแกรมลงเล่นในศึกยูฟ่า คัพรอบชิงชนะเลิศกับเดปอร์ติโว อลาเวส (สเปน) โดยฟาวเลอร์ถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 66 โดยลงไปแทนเอมิล เฮสกีย์ในขณะที่ทั้งสองทีมเสมอกัน 3-3 และฟาวเลอร์ก็สามารถทำประตูได้หลังจากถูกเปลี่ยนลงสนามในเวลา 5 นาที แต่จบเกมทั้งสองทีมเสมอกัน 4-4 ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะมาได้ประตูชัยในนาทีที่ 116 (โกลเดน โกล์) ทำให้ลิเวอร์พูลชนะเดปอร์ติโว อลาเวสไป 5-4 และเป็นร็อบบี ฟาวเลอร์กับซามี ฮูเปียที่ขึ้นไปรับถ้วยยูฟ่า คัพบนสแตนด์


     ในฤดูกาลสุดท้ายที่ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ฟาวเลอร์สามารถทำแฮตทริกแรกในรอบ 3 ปีได้ในเกมที่ชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 4-1 เมื่อเดือนตุลาคม 2001ในขณะที่สถานการณ์ในทีมลิเวอร์พูลเริ่มไม่มั่นคงนักกับตำแหน่งตัวจริง และการถูกบีบให้ต้องย้ายทีมของเชรา อุลลิเยร์ทำให้หนังสือพิมพ์ ลิเวอร์พูล เอคโคลงข่าวว่าฟาวเลอร์อาจจะต้องย้ายออกจากทีมและก็เป็นจริงเพราะหลังจากเกมที่ลิเวอร์พูลชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 4-1 ผ่านไปได้เพียง 1 เดือน ฟาวเลอร์ก็ย้ายออกจากลิเวอร์พูลมายังลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์

กลับสู่ลิเวอร์พูลอีกครั้ง


     ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ในช่วงเวลาดังกล่าว คว้าตัวฟาวเลอร์กลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง โดยย้ายกลับมาลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2006 แต่การย้ายกลับมาครั้งนี้เค้าไม่ได้สวมเสื้อเบอร์เก่งอย่างเบอร์ 9 เนื่องจากเบอร์นี้ถูกสวมใส่โดย ฌิบริล ซิสเซ่ ทำให้เค้าได้ใส่เบอร์ 11 และหลังจากบรรดา "เดอะ ค็อป" ทราบข่าวก็ทำแบนเนอร์หลากหลายแบบ เพื่อต้อนรับขวัญใจของพวกเขาที่กลับมาอีกครั้งอย่าง FOWLER, GOD, 11, WELCOME BACK TO HEAVEN (ยินดีต้อนรับพระเจ้ากลับสู่สวรรค์) ก่อนที่ในฤดูกาล 2006/07 ฟาวเลอร์จะกลับมาใส่เบอร์ 9 อีกครั้งหลังจากฌิบริล ซิสเซ่ย้ายไปร่วมทีมโอลิมปิก มาร์กเซยในสัญญายืมตัว

     ฟาวเลอร์ลงเล่นนัดแรกในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2006 และยิงประตูให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งในเกมที่เปิดแอนฟิลด์พบกับฟูแล่ม เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2006 และกระทุ้งในเกมพบกับ เวสต์บรอมวิช ซึ่งทำเจ้าตัวสร้างสถิติเป็นดาวยิงสูงสุดแซง เคนนี ดัลกลิช (แต่ก็ยังเป็นรอง เอียน รัช อยู่) โดยในฤดูกาลแรกที่กลับมาเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้ง ฟาวเลอร์ลงเล่นไปทั้งหมด 16 เกม ยิงได้ 5 ประตู

     ในเดือนมีนาคม ฟาวเลอร์เริ่มกลับมาฟิตเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนราฟาเอล เบนิเตซออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะไม่มีทางขายร็อบบีออกจากทีม และหากเค้าฟิตและลงเล่นได้ดีแบบนี้ค่าตัวของเค้าต้องอยู่ที่ 10 ลป.เป็นอย่างน้อย"

     25 ตุลาคม 2006 ฟาวเลอร์ได้กลับมาสวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งในเกมที่พบกับเรดดิ้งในศึกลีก คัพ ซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 4-3

     5 ธันวาคม 2006 ฟาวเลอร์สามารถทำประตูได้ในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในเกมที่ออกไปเยือนกาลาตาซาราย เค้าได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีและยิงได้ 2 ประตู โดยเกมจบลงที่กาลาตาซารายชนะไป 3-2 (เป็นการยิงประตูให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากประตูสุดท้ายเกิดในเกมที่พบ เอฟซี ฮากา)

     24 กุมภาพันธ์ 2006 ฟาวเลอร์ทำได้ 2 ประตู (จุดโทษทั้งหมด) ในเกมที่พบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 4-0 โดยอีก 2 ประตูเป็นผลงานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ซามี ฮูเปีย

     1 พฤษภาคม 2006 ในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศนัดที่สอง ฟาวเลอร์ถูกเปลี่ยนตัวลงในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยเกมนั้นราฟาเอล เบนิเตซส่งเค้าลงไปเพื่อยิงจุดโทษแต่สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้ยิงเนื่องจากทีมชนะเชลซี 4-1 (คาดว่า ฟาวเลอร์ น่าจะถูกวางตัวให้เป็นคนยิงคนที่ 5) ตากนั้นฟาวเลอร์หมดสัญญากับลิเวอร์พูลหลังจบฤดูกาล 2006/07

เกียรติประวัติและถ้วยรางวัลที่ได้รับ

กับสโมสรลิเวอร์พูล
1994/95 ลีก คัพ
2000/01 ลีก คัพ (แมน ออฟ เดอะ แมตช์)
2000/01 เอฟเอ คัพ
2000/01 ยูฟ่า คัพ
2001/02 ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ

รองแชมป์
1995/96 เอฟเอ คัพ

ทีมชาติอังกฤษ
1993 แชมป์ U-18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพ

เกียรติประวัติส่วนตัว
1995 นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA
1996 นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA
นักเตะที่ทำแฮตทริกเร็วที่สุดในพรีเมียร์ ลีก (4 นที 33 วินาที ในเกมที่พบ อาร์เซน่อล, 28 สิงหาคม 1994)

เพื่อนสนิทที่สุดคือ สตีฟ แม็คมานามาน


2014-03-04